ทนายพจน์ นายกสมาคมไวยาวัจกรแห่งประเทศไทย เดินหน้าเข้าแจ้งความเอาผิดขบวนการรีดทรัพย์ หลอกให้พระเปลือยกายโชว์หัวฉีดน้ำดับเพลิงก่อนบันทึกคลิปและภาพ แบล็คเมล์ ตบทรัพย์ โดยตอนนี้พบมีบัญชี ชายหนึ่งราย และหญิงหนึ่ง ที่รับเงินไป ย้ำเดินหน้าเอาผิดสุดซอยเพื่อเปิดโปงขบวนการและประชาสัมพันธ์ให้พระทั่วประเทศทราบถึง ย้ำหลวงพี่น้ำฝน ไม่ได้อุ้มพระวัดตัวเอง แต่รีบออกมาแจ้งเตือนภัยเพื่อไม่ให้เกิดมิจฉาชีพขึ้นเต็มเมือง ขณะที่ขอให้ประชาชนดูแนวความคิดของทนายธรรมรราช เพื่อความบันเทิงเท่านั้นอย่าใส่ใจ ส่วนผู้กำกับการตำรวจภูธรเมืองนครปฐม ชื่นชมหลวงพี่น้ำฝน กล้าเปิดเผยให้ข้อมูลจริงซึ่งเป็นไปตามนโยบายที่สำนักงานตำรวจได้สั่งการให้ติดตามจับกุมขบวนการใช้โซเชียลหลอกยืมเงิน รีดทรัพย์ จากเหยื่อ ซึ่งวอนให้ผู้เสียหายที่ถูกแก๊งเหล่านี้เข้าแจ้งความเอาความผิดให้ถึงที่สุด
เมื่อค่ำของวันที่ 11 ธันวาคม 67 นายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร หรือทนายพจน์ นายกสมาคมไวยาวัจกรแห่งประเทศไทย เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ภูภณ ทัพเจริญ ผกก.สภ.เมืองนครปฐม พ.ต.ท.ฤทธิชัยปกรณ์ ดำรงค์สิทธิสกล รองผกก.สส. พ.ต.ท.ภัฎ อินเถลิงศักดิ์ รองผกก.สอบสวน เพื่อเป็นตัวแทนผู้รับมอบอำนาจนำหลักฐานของ พระวีระ (นามสมมติ) พระลูกวัดไผ่ล้อม ในการเข้าแจ้งความร้องทุกข์เอาความผิดกับขบวนการหลอกให้เปลื้องผ้าและโชว์หัวฉีดดับเพลิงผ่านแอพลิเคชั่นไลน์ และถูกขู่รีดทรัพย์จำนวน 5 หมื่นบาท เมื่อวันที่ 7 ธันวาคมและปรากฏเป็นข่าวในหลายสื่อที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว
โดยทนายพจน์ ได้นำหลักฐานเป็นข้อความและรูปภาพรวมถึงสลิบการโอนเงินและหมายเลขบัญชีของผู้รับโอนและหมายเลขโทรศัพท์และหน้าเพจน์และแอพพลิเคชั่นไลน์ มาแสดงรวมถึงให้ปากคำในข้อมูลที่ พระวีระ(นามสมมติ) ถูกแก๊งดังกล่าวทำการล่อลวงให้เผลอใจหลงรักและยอมเปลื้องผ้าและโชว์ของลับในแอพพลิเคชั่น ต่อผู้กำกับการตำรวจภูธรเมืองนครปฐมและทีมสอบสวนและชุดสืบสวน ซึ่งมีประเด็นในเรื่องของการวางแผนหว่านล้อมให้เหยื่อซึ่งเป็นพระสงฆ์ตายใจในการพูดคุยผ่านโซเชียลเฟสบุ๊ก ซึ่งได้มีการไปเซฟภาพและชื่อของหญิงสสาวหน้าตาดี ซึ่งมีการระบุอาชีพว่าเป็นครูในพื้นที่ภาคอีสานก่อนจะมีการขอไอดีไลน์ในการแอดคุยกันแบบส่วนตัว ก่อนที่หยอดจริตให้ฝ่ายชายรู้สึกดีและเข้าประชิดเหยื่อด้วยการถอดเสื้อผ้าโชว์ของสงวนก่อนที่จะทำการชักชวนให้มีการปลดจีวรและช่วยตัวเองผ่านหน้าจอโซเชียล เมื่อใครพลาดจะมีการบันทึกภาพและคลิบในการเรียกทรัพย์ ซึ่งเหยื่อเสียเงินไปแล้ว 5 หมื่นบาทและรีดทรัพย์อีก 2 แสนบาทแต่เหยื่อไม่ยอมและแจ้งกับพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อมซึ่งได้มีการออกมาแจ้งเตือนภัย ให้สังคมโดยเฉพาะวงการพระสงฆ์ซึ่งถูกหลอกกันมากในช่วงนี้
ทนายพจน์ กล่าวว่า ขบวนการดังกล่าวเป็นแก๊งค์ตบทรัพย์ที่มีการทำงานเป็นทีมโดยจะอาศัยภาพโปรไฟล์ของหญิงสาวหน้าตา และมีคุณสมบัติเป็นที่ต้องการของชายหนุ่ม ไปหลอกเอาทรัพย์หลายรูปแบบ ซึ่งตอนนี้ก็ได้ลามมาถึงวงการพระสงฆ์ และมีการตกเป็นเหยื่อมากมายแต่ยังไม่เคยปรากฏเป็นข่าวและมีการแจ้งประชาสัมพันธ์อย่างจริงจัง ซึ่งขบวนการดังกล่าวเรียกว่าเป็นการรีดเอาทรัพย์จากเหยื่อ โดยจะเน้นโปรไฟล์ที่มีชื่อเสียงเป็นคนดัง มีหน้ามีตาในสังคม เป็นพระสงฆ์ ยิ่งถ้าเป็นพระที่มีตำแหน่งหน้าที่สูงก็จะยิ่งเรียกเงินได้มาก
“วันนี้ผมจึงได้นำพระรูปดังกล่าวที่ตกเป็นเหยื่อมาแจ้งความเอาความผิดกับขบวนการนี้โดยเฉพาะคนที่เป็นบัญชีม้า โดยตอนนี้ทราบชื่อเป็นชายหนึ่งราย และหญิงหนึ่งราย สองคนนี้ยังไงผมก็จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เช่นกัน เพราะมีลักษณะรับโอนเงินจากเหยื่อไปอย่างชัดเจน ซึ่งคนที่เป็นบัญชีม้าก็จะมีโทษจำคุก 3 ปี ส่วนคนที่จัดหาก็จะมีโทษ2ถึง5 ปี และศาลท่านไม่รอลงอาญาด้วย ซึ่งตรงนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นในการเปิดหน้าขบวนการดังกล่าว เพราะหากปล่อยเอาไว้จะมีพระสงฆ์ตกเป็นเหยื่ออีกมาก วันนี้ผมรับมอบอำนาจ ในการดำเนินคดีซึ่งได้หารือกับหลวงพี่น้ำฝนแล้วว่าเราจะเดินหน้าทำงานกันให้ถึงสุดซอยคือต้องมีผู้รับโทษในคดีนี้ซึ่งถือว่าเป็นคดีแรกให้เป็นตัวอย่างให้ได้” ทนายพจน์กล่าว
ทนายพจน์ กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีที่หลวงพี่น้ำฝนได้ออกมาแจ้งเตือนภัยเรื่องนี้ ผมได้ไปหารือกับท่านแล้ว ซึ่งอยากจะให้มองว่าจะเป็นการมาอุ้มพระสงฆ์ที่ไม่ได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบให้รอดพ้นการลงโทษ นี่ก็อยากจะชี้แจงว่าไม่ใช่ เพราะอยากจะให้ประชาชนมองว่าพระสงฆ์ได้ถูกมองเป็นสมมุติเทพ มีการคาดหวังสูงซึ่งหากปฏิบัติไม่ถูกต้องแล้วก็จะเป็นที่เลื่อมใสของญาติโยม แต่อยากจะให้มองในมุมว่าพระที่มีอยู่ก็จะปฏิบัติได้เคร่งมากบ้าง น้อยบ้าง ก็จะมีคละกันไปซึ่งส่วนที่พระปฏิบัติโดยยังกิเลสไม่ได้ก็จะตกเป็นเหยื่อของคนเหล่านี้ จึงอยากจะให้มองว่านี่คือบทเรียนว่าโลกภายนอกมีอันตรายแบบนี้ และจะต้องมีภูมิในการปฏิบัติธรรมให้ทันโลกด้วยและเป็นอุทาหรณ์ให้ตัวเองและพระรูปอื่นด้วย ซึ่งถือเป็นการเสียสละและประกาศเรื่องนี้ให้สังคมได้รับรู้ด้วย
ทนายพจน์ ยังกล่าวถึงทนายธรรมราช ที่ได้ออกมาแสดงความเห็นถึงหลวงพี่น้ำฝน และนำไปเปรียบเทียบกับพระปีนเสาบ้านกับพระส้นหรือพระสันบ้าง ว่าเมื่อพระลูกวัดตัวเองทำผิดให้ไปทำปริวาสสิกรรม แต่พอพระปีนเสาทำผิด พระรูปอื่นทำผิดจะให้ลาสิกขาไปทนายธรรมมราชก็จะนำเสนอในทำนองนี้ อยากจะบอกไปถึงทนายธรรมรัตน์ว่าถ้าอยากจะหาสีหาแสงแล้วก็ต้องดูพระธรรมวินัยด้วย ดูกฎหมายด้วย ดูคำสั่งของมหาเถรสมาคมด้วย เพราะในกรณีของพระปีนเสาเนี่ยมันผิดอยู่ใน พรบ.สงฆ์ กฏมหาเถระสมาคม ซึ่งกรณีของพระที่ไม่มีสังกัดก็สั่งให้ลาสิขาได้ก็ถูกแล้ว แต่ในกรณีของเคสที่ถูกหลอกลวงท่านผิดไปท่านพลั้งไปและยอมรับโดยพร้อมที่จะแก้ไข เราจะปกปิดไว้หรือครับหรือเราจะนำมาเปิดเผยเพื่อให้นำมาสู่การแก้ไขป้องกัน การที่ออกมาให้ข้อมูลแล้วถูกตำหนิถูกว่าแต่นำไปสู่การนำไปเป็นอุทาหรณ์น่าจะดีกว่าการหมกเม็ดปกปิดเอาไว้แต่เกิดมิจฉาชีพขึ้นเต็มเมือง ซึ่งทนายธรรมราช ก็ออกมาหาแสงซึ่งก็มาดูเพื่อความบันเทิง อย่าเอาท่านมาเป็นสาระสำคัญผมมองแบบนี้ครับ
ด้าน พ.ต.อ.ภูภณ ทัพเจริญ ผกก.สภ.เมืองนครปฐม กล่าวว่า สำหรับกรณีเรื่องการหลอกให้รักแล้วยืมเงิน ก็คล้ายๆกันกับกรณีนี้ซึ่งทางสถานีตำรวจภูธรเมืองนครปฐมได้มีการติดตามในคดีนี้อยู่หลายเคส ซึ่งส่วนของกรณีพระที่ถูกหลอกให้ตกเป็นเหยื่อก็ถือว่าเป็นเคสแรกที่แจ้งความ ซึ่งต้องขอชื่นชม หลวงพี่น้ำฝนเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ว่าท่านมีความกล้าหาญและก็ไม่เก็บปัญหาเอาไว้ซึ่งก็เป็นแนวทางเดียวกันกับที่ทางผู้บัญชาการตำรวจ ท่านผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาคเจ็ด ท่านผู้บัญชาการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม ได้ให้แนวทางในการวางมาตรการในคดีเหล่านี้เพราะมีประชาชนตกเป็นเหยื่อหลายรายและมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยเรื่อย
“สำหรับคดีนี้ ได้สั่งการให้พนักงานสอบสวนทำการสอบปากคำผู้ที่ตกเป็นเหยื่อซึ่งจะมีการติดตามข้อมูลโทรศัพท์มือถือ ติดตามบัญชีที่มีการโอนเงินไป โดยจะมีการออกหมายเรียกผู้ที่รับเงินไปซึ่งไม่ทราบว่าเป็นตัวจริงหรือว่าเป็นบัญชีม้าที่มาอยู่ในขบวนการ และชัดเจนว่าการประชาสัมพันธ์ป้องกันภัยเหล่านี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้แก๊งค์คนร้ายที่รีดทรัพย์ทำงานได้ยากขึ้นโดยคดีนี้ก็จะเร่งรัดติดตามตัวไปสู่การคลี่คลายคดีให้ชัดเจนต่อไป และขอฝากประชาสัมพันธ์ไปยังผู้เสียหายว่าอยากเก็บความลับเอาไว้ซึ่งท่านสามารถมาแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจในพื้นที่ที่เกิดเหตุซึ่งตำรวจก็จะมีการเร่งรัดติดตามผลให้ประชาชนตามนโยบายอย่างเคร่งครัดแน่นอน” ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรเมืองนครปฐมกล่าวปิดท้าย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการติดตามข้อมูลทาง Facebook และแฟนเพจ ของหญิงสาวหน้าตาดีคนดังกล่าวซึ่งมี Account จริงของเจ้าตัวได้ออกมาโพสต์คลิปแจ้งเตือนภัยกับเหยื่อที่ถูกคนร้ายนำภาพใบหน้าของเธอไปใช้หลอกลวงเหยื่อเป็นจำนวนมาก โดยได้ทำการเตือนภัยเอาไว้ตั้งแต่ประมาณเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเนื่องจากเจ้า ได้รับการติดต่อไปจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเหยื่อหลายลาย ซึ่งแม้จะมีการออกมาโพสต์คลิปและแจ้งเหตุเตือนภัยเอาไว้แล้วแต่กลุ่มคนร้ายก็ยังอาศัยช่วงดังกล่าวที่ผู้ใช้โซเชียลยังไม่ได้เห็นการประชาสัมพันธ์หว่านแหเพื่อขุดรีดทรัพย์ซึ่งนับจากนี้ก็จะมีการประสานงานของหลายหน่วยงานให้เกิดการติดตามในคดีดังกล่าวต่อไป