แก๊งตบทรัพย์พระเหิมหนัก ล่อพระสงฆ์แสดงบทเป็นนักนักดับเพลิงโชว์หัวจ่ายสะบัดผ่านโซเชียลแล้วแบล็คเมล์ตบทรัพย์หลักหมื่นถึงหลักล้านบาท หลวงพี่น้ำฝนยันพระลูกวัดไผ่ล้อมเพิ่งโดนหมาบๆ เกือบฆ่าตัวตายถึงมาปรึกษา ย้ำขบวนการนี้เป็นมารต้องการเงินเป็นหลัก แจ้งความผิดอาบัติฐานสังฆาทิเสส สั่งการอยู่กรรมในป่า 1 เดือนสำรวจตัวเอง เจ้าตัวรับพลาดไม่มีสติและหลงเพราะถูกหว่านล้อมจนพลาด โชคดีหลวงพี่น้ำฝนให้สติก่อนคิดสั้น เตือนพระสงฆ์อย่าหลงของสวยหวาน กินไม่ได้แถมถูกหลอกด้วย
วันที่ 9 ธันวาคม 67 ผู้สื่อข่าวได้แจ้งจากพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำ เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม อ.เมือง จ.นครปฐม ว่าขณะนี้แก๊งตบทรัพย์พระภิกษุอาลวาดหนัก โดยพระลูกวัดไผ่ล้อมหลงกลถูกแก๊งแสบแอบเอาภาพหญิงหน้าตาดี หลอกคุยผ่านโซเชียล เพื่อตีสนิทจากนั้นจะหว่านเสน่ให้เคลิบเคลิ้มก่อนจะชักชวนแลกดูของลับ ซึ่งหากรายได้พลาดท่าเล่นเซ็กบำเรอตัวเองผ่านกล้องโซเชียล จะถูกเรียกเงินทันที ซึ่งพระลูกวัดพลาดท่าถูกตบทรัพย์ไปแล้ว 5 หมื่นบาท พร้อมขู่ประจานหากเรียกเงินเพิ่มแล้วไม่ได้ ทำเจ้าตัวคิดสั้นแต่พอตั้งสติได้มาสารภาพจึงได้เร่งช่วยเหลืออและสังการลงโทษให้อยู่กรรมในป่า 1 เดือน ซึ่งตอนนี้ได้รับแจ้งจากหลายวัดหลายพื้นที่ว่าแก๊งนี้กำลังระบาดหนักมีพระเสียเงินหลักหมื่นถึงหลักหลายล้านบาท โดยเตรียมประสานพระผู้ใหญ่แจ้งข้อมูลในพื้นที่ภาค 14 แล้ว
หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม กล่าวในฐานะประธานคณะทำงานดำเดินการแก้ไขข้อขัดข้อง ระงับเหตุ และแก้ไขปัญหาอธิกรณ์ข้อร้องเรียนในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค 14 หรือประธานพระวินยาธิการ (ตำรวจพระ) ว่า ก่อนหน้าได้ทราบเรื่องของขบวนการดังกล่าวมาระยะหนึ่งแล้ว กระทั่งเมื่อวานนี้ได้รับการแจ้งจากพระลูกวัดรูปหนึ่ง ว่าได้ตกเป็นเหยื่อของแก๊งค์ดังกล่าวเช่นกัน จึงได้ นิมนต์มาทำการสอบสวนและสอบถามข้อมูลทั้งหมดจึงทราบว่าแก๊งค์ดังกล่าวมีการกระทำเป็นขบวนการและมีการวางแผนไว้เป็นระยะ ซึ่งในส่วนของพระลูกวัดไผ่ล้อมรูปนี้เป็นพระที่บวชมานาน แต่ก็ยังพลาดเมื่อขาดสติและถูกยั่วยุให้เคลิ้มเคลิ้ม ซึ่งคนกลุ่มนี้เรียกว่าพวกมาร ซึ่งจะเข้าใจกระบวนการว่าพระสงฆ์มีความอ่อนแอทางด้านใดก็จะมีการเข้าโจมตีในจุดนั้นซึ่งส่วนสำคัญเป็นเรื่องของความเชื่อถือของญาติโยมและจะมีการหว่านแห ซึ่งหากพลาดก็จะถูกเรียกซับทันที
หลวงพี่น้ำฝนกล่าวต่อไปว่า หลังจากรับฟังเรื่องดังกล่าวก็ทราบว่าพระลูกวัดรูปนี้เครียดจัดถึงขั้นขนาดคิดจะฆ่าตัวตาย ซึ่งอาตมาบอกว่าเป็นเรื่องของพวกมารศาสนาที่จะมาท้าทายความอดทนของพระสงฆ์ในปัจจุบัน ยิ่งยุคนี้เป็นยุคโซเชียลขบวนการเหล่านี้ก็จะเข้าหาพระสงฆ์ได้ง่ายและมาได้ทุกรูปแบบ ซึ่งพระสงฆ์ของเราก็มีความล่อแหลมเรื่องนี้มาก โดยเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องของกิเลส เพราะ เป็นเรื่องของการตบมือข้างเดียวคงจะไม่ดัง ส่วนความผิดตอนนี้ก็อยู่ในการอาบัติชั้นสังฆาทิเสส โดยจะต้องไปอยู่กรรม เพื่อชดใช้ความผิด ด้วยหลักจะมีการให้อยู่กรรมประมาณ 15 วัน แต่อาตมาได้สั่งการให้ไปอยู่ที่สำนักสงฆ์ในป่า ที่ตำบลลุ่มสุ่ม อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี เป็นเวลาหนึ่งเดือน เพื่อให้พิจารณาถึงความผิดของตัวเองไว้ก่อน
“หลังจากรับทราบเรื่องว่าพระลูกวัดถูกขู่เรียกทรัพย์ไปแล้ว เป็นเงิน 50,000 บาท เมื่อแก๊งค์ดังกล่าวได้ใจก็ยังหึกเหิมเรียกมาอีก 200,000 บาท ซึ่งพระลูกวัดไม่มีเงินแล้วและพร้อมจะฆ่าตัวตาย เพราะไม่เคยพบเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ซึ่งเมื่อเขาไม่ได้ 200,000 ไป ก็ได้ติดต่อมาที่อาตมา อาตมาก็โทรไปคุยว่าหาก คิดว่าเป็นผู้เสียหายให้มาพบ อาตมาโดยตรงที่วัดไผ่ล้อม สุดท้ายก็เงียบหายกันไป นี่คือขบวนการที่พระสงฆ์กำลังประสพอยู่ในโลกโซเชียลขณะนี้” หลวงพี่น้ำฝนกล่าว
หลวงพี่น้ำฝนกล่าวอีกว่า นอกเหนือจากการลงโทษแล้วอาตมายังเห็นว่าจำเป็นจะต้องมีการให้ความรู้ความเข้าใจกับพระสงฆ์เกี่ยวกับการใช้โซเชียล และขบวนการตบทรัพย์ ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ซึ่งในภาค14 ที่อาตมาสังกัดอยู่ ก็มีแพร่หลายอยู่หลายจังหวัด และยังมีการร้องเรียนพฤติกรรมต่างๆเข้ามาจากหลายจังหวัด เรื่องนี้ต้องบอกว่าต้องมีมีความรู้ทางด้านการใช้โซเชียล และให้ดูตัวอย่างจากอาตมาคือการใช้โซเชียลจะใช้ในรูปแบบของการให้คติธรรม ให้คำสั่งสอนแก่ศิษยานุศิษย์และพุทธศาสนิกชน ถามว่ามีกระบวนการเหล่านี้ติดต่อเข้ามาหรือไม่ ตอบได้ว่ามีเยอะมาก แต่เราไม่ไปสานต่อ ไม่ไปข้องเกี่ยวมันก็จะไม่มีเรื่อง ซึ่งพระสงฆ์ที่พบปัญหานี้อันดับแรกหนึ่งจะต้องมีสติไม่ตกเป็นเครื่องมือของคนเหล่านี้และต้องอยู่ในศีลตามหลักปฎิบัติอย่างเคร่งครัด แต่หากพลาดไปแล้ว ก็ให้รีบปรึกษา เจ้าอาวาส หากท่านไม่ทราบข้อมูลให้ติดต่อประสานงานเจ้าคณะตำบลอำเภอและจังหวัดหรือผู้มีความรู้ก่อน อย่าหมกมุ่นอยู่ตัวคนเดียวเพราะกรณีนี้ทราบว่าถึงขั้นจะมีการฆ่าตัวตายหลายคนแล้ว
หลวงพี่น้ำฝนกล่าวเพิ่มเติมว่า อาตมาขอฝากไว้เป็นสำคัญคือถ้าจะใช้โซเชียลต้องใช้อย่างสร้างสรรค์ไม่ใช่ใช้ไปหาคู่และถ้าเป็นพระสงฆ์แล้วจะมาหาคู่ผ่านโซเชียลก็ขอให้ท่านลาสิกขาออกไปเพราะหากท่านปฏิบัติตนเช่นนี้ก็จะมีแต่ทำให้คณะสงฆ์ ส่วนใหญ่ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบและอยู่ในศีลในธรรมต้องพลอย มาเสียหายกับพฤติกรรมเหล่านี้ด้วย ส่วนแก๊งคนร้ายประสานตรวจสอบพบเป็นการวิดิโอคอลจากต่างประเทศ และมีบัญชีม้าเป็นคนไทยมารับโอน
ขณะที่พระวีระ (นามสมมติ) บอกว่าอาตมายอมรับว่าพลาดและไม่มีสติกับเรื่องนี้ ซึ่งครั้งแรกอาจจะมาถูกเพิ่มเพื่อนเข้ามาจาก โซเชียล Facebook โดยมีโปรไฟล์เป็นภาพผู้หญิงสาวหน้าตาดี โดยระบุว่ามีอาชีพเป็นครูสอนหนังสือ ซึ่งเป็นอาชีพที่อาตมาให้ความสนใจเพราะได้มีหน้าที่ให้ความรู้แก่ญาติโยมและเด็กเด็ก ซึ่งเขาได้ขอเพิ่มเพื่อนมาเมื่อประมาณสี่เดือนก่อน แต่ก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากนักเพราะอาตมาบอกว่ามีหน้าที่และไม่มีเวลา โดยจะมีการทักทายตามปกติราวอาทิตย์ละหนึ่งถึงสองครั้ง แต่เมื่อประมาณสามสัปดาห์ก่อน ผู้ใช้ Facebook หญิงคนนี้ได้ขอ LINE ของอาตมา ซึ่งก็ได้แจ้งไปว่าปกติอาตมาไม่ได้ใช้โซเชียลนั้น และก็คุยกันเรื่อยมา กระทั่งผ่านมาอีกหนึ่งสัปดาห์ เมื่อเห็นว่าเขาจริงใจและพูดคุยเป็นมิตรและมีอาชีพเป็นครูที่มั่นคง จึงได้ให้ LINE ไว้โดยเค้าอ้างว่าข้อมูลใน Facebook ของเขาจะสูญหายบ่อยถ้าคุยทาง LINE จะติดต่อได้สะดวกกว่า
พระวีระ (นามสมมติ) บอกอีกว่าหลังจากได้พูดคุยกันประมาณสองสัปดาห์ ทำให้เกิดความไว้ใจและเขาก็ได้พูดว่าอยากคบหากับอาตมา ซึ่งช่วงนั้นจะใช้เวลาช่วงเย็นหลังเลิกงานคุยกันบ่อยครั้งจากจิตใจที่ไม่เคยคิดก็เริ่มคิดเพราะบวชมานานและไม่เคยได้มีใครมาพูดคุยดีแบบนี้ด้วยจึงรู้สึกดี แต่สองถึงสามวันนี้ เค้ารุกเล้าหนัก โดยบอกว่าอยากเป็นของเราจริงๆ และ เมื่อวานนี้ก็ได้มีการวีดีโอคอลคุยกัน โดยเค้าบอกว่าจะขอถอดเสื้อผ้าให้ดูเพื่อแสดงความจริงใจว่าเค้าพร้อมที่อยากจะมีเราจริงๆ และก็ได้ถอดตามที่ได้พูดไว้ และบอกว่าให้อาตมาถอดให้ดูด้วย ซึ่งครั้งแรกๆ อาตมาบอกว่าไม่สะดวกเพราะว่ายังอยู่ในผ้าเหลือง แต่เค้ารุกเร้าหนักจึงได้ถอดให้เค้าดูและไม่ทราบว่าเพราะอะไรถึงได้ยอมได้ง่ายดาย และเมื่อถอดเสื้อผ้าออกเค้าก็แสดงการช่วยตัวเองให้ดูโดยให้เราทำให้เขาดูไปด้วย และ เขาก็ได้ทำเป็นว่าเสร็จกิจ แต่อาตมาไม่ได้สำเร็จไปด้วย เค้าจึงบอกให้ไปอาบน้ำ หลังจากนั้นถามอะไรไปก็เงียบ โทรไปตอนเช้าก็ไม่ตอบ
“หลังจากนั้นอาตมาก็โทรไปสอบถามเขาก็เงียบแต่ช่วงสายได้โทรกลับมาและบอกว่าเมื่อคืนเพลียมากนอนหลับยาวจากนั้นก็ได้ชักชวนคุยกันไปต่อ เขาได้ให้เลือกเสื้อผ้าว่าจะเลือกชุดไปทำการสอนหนังสือ ซึ่งจะซื้อแต่เลือกไม่ถูกอาตมาก็บอกว่าสีนี้เหมาะที่จะใช้ไปสอนเขาก็ส่งภาพชุดมาเรื่อยๆ แต่จู่จู่ก็มีภาพของอาตมาที่ไม่เหมาะสมไหลออกมาหลายภาพ และเขาก็บอกว่าทำไมเป็นพระเป็นเจ้าถึงได้ทำแบบนี้ และด่าทอหนักมาก โดยมีเพื่อนเพื่อนเข้ามาช่วยรุมด่า ทำให้อาตมาเครียดหนัก เค้าบอกว่าถ้าให้ 30,000 บาทจะจบเรื่องทันที อาจตามมาก็ได้ไปโอนเงินที่ร้านสะดวกซื้อแถวหน้าวัด และส่งสลิปให้เค้าดูทางวิดีโอคอล จากนั้นเค้าก็บอกว่าโอนช้า ขออีก 20,000 บาท ด้วยความตกใจอาตมาก็โอนไปอีก 20,000 บาท เขาก็ทำท่าลบภาพที่ส่งมาให้เราบน LINE และให้เดินกลับมาที่วัด แต่พอมาถึงที่วัดแล้ว เขา บอกอีกว่า ยังมีคลิปอยู่อีกหากอยากให้จบ ก็โอนมาอีก 200,000 บาท ซึ่งอาตมาตกใจทำอะไรไม่ถูกและไม่มีเพื่อนพระอยู่ด้วยเนื่องจากหลายรูปติดกิจนิมนต์ จึงได้เดินไปที่หลังโบสถ์แล้วคิดจะฆ่าตัวตาย แต่ นึกถึงหน้าหลานจึงได้หยุดคิด และตัดสินใจโทรไปหาหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาส เพื่อสารภาพว่าไปกระทำความผิดมาแล้ว และคิดว่ามีสองทางคือหลวงพี่จะสั่งให้สึกหรือช่วยเหลือซึ่งก็ทำใจไว้แล้ว แต่หลวงพี่ท่านได้ให้สติและให้การช่วยเหลือตั้งหลักขึ้นมาได้ แต่ก็ได้คาดโทษตามกระบวนการซึ่งอาตมาก็น้อมรับความผิด” พระวีระ (นามสมมติกล่าว
พระวีระ (นามสมมติ) กล่าวเสริมว่าเรื่องนี้อาตมายอมรับว่าขาดสติจริงๆ ซึ่งก็ไม่ทราบว่าไปหลงกลแบบนี้ได้อย่างไรอาจจะเป็นเพราะอาตมาไม่เคยพบผู้หญิงที่มาพูดจาดีแบบนี้มาก่อน เพราะเคยมีแฟนแล้วเลิกรากันไปหลาย 10 ปีก่อนที่จะมาบวชเป็นพระ ซึ่งสิ่งที่อยากจะบอกเตือนสติพระรูปอื่นๆที่กำลังจะตกเป็นเหยื่อต่อไปจากนี้คือ ความหวานสวยกินไม่ได้จะถูกหลอกลวงด้วย ซึ่งจากนี้จะไปอยู่กรรมและกลับมาปฎิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุดและจะจำไว้เป็นบทเรียนใหญ่ที่สุดของชีวิต และตอนนี้ได้ประสานไปยังเจ้าของภาพที่ใช้มาหลอกทราบว่าเป็นครูจริงในภาคอีสานซึ่งเจ้าตัวบอกว่ามีคนประสานมาเยอะมากว่าตนเองถูกนำภาพไปใช้หลอกเหยื่อโดยเฉพาะพระสงฆ์