หลวงพี่น้ำฝน พูดแล้วปัญหาวัดจันทร์ใน ที่เกิดปัญหาขัดแย้ง ภายในหลายปี เชื่อว่าจบลงแล้ว หลังเป็นตัวแทนเข้าไป ให้แนวทางการปกครองแบบคณะสงฆ์ ว่าอำนาจเต็มอยู่ที่เจ้าอาวาส พระลูกวัดมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม โดยปรากฏภาพครั้งแรกพระลูกวัด เข้ารดน้ำ ขอพรเจ้าอาวาสหลังไม่เคยปรากฏกิจกรรมเช่นนี้มาหลายปี ย้ำ ปัญหาของพระในวัดจำเป็นต้องมีการประชุมคณะสงฆ์ เพื่อให้สงฆ์เกิดความเข้าใจกันเอง ไม่จำเป็นต้องลงนามMOU หรือถึงขั้นต้องมีการฟ้องร้องตามที่ปรากฏเป็นข่าว
วันที่ 16 เมษายน 67 ที่วัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ได้ออกมาพูดครั้งแรก เกี่ยวกับปัญหาภายในของวัดจันทร์ใน แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นหลายปี แต่เมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา หลวงพี่น้ำฝนได้เข้าหารือและเจรจากับทั้งสองฝ่าย คือทางฝ่ายพระครูโสภณกิจจานุกิจ เจ้าอาวาสวัดจันทร์ใน และ ฝ่ายของพระลูกวัด ทั้งหมด 12 รูป ซึ่งมีข้อพิพาทถึงขั้นฟ้องร้องอยู่ในชั้นศาล กระทั่งได้มี การเข้าใจกันในเบื้องต้น ซึ่งคณะของพระลูกวัด 12 รูป ยินยอมปฏิบัติตามกฎระเบียบของทางเจ้าอาวาส นำไปถึงการแสดงออกด้วยมุทิตาจิตในการรดน้ำดำหัวเป็นภาพที่ปรากฏไปแล้ว
หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม กล่าวว่า ปัญหาดังกล่าวที่ทราบมา คือการแต่งตั้งเจ้าอาวาส ที่เป็นที่ยอมรับของคณะสงฆ์ทั้ง 12 รูป และมีการขัดขืนและแสดงออกทำให้เกิดปัญหาบานปลายจนทำให้ ถึงขั้นมีการฟ้องร้องกันในชั้นศาล ซึ่งอาตมา ได้รับการประสานงานเพื่อไปให้แนวทางในการปกครองวัดไผ่ล้อม ในฐานะเจ้าอาวาส ซึ่งได้แจ้งกับทางคณะของพระมหาวีรวงศ์ ว่าการที่เจ้าอาวาสได้รับการแต่งตั้งมาแล้วนั้น ถือเป็นผู้มีอำนาจในวัด พระลูกวัดก็ต้องปฏิบัติตามกฎกติกาที่ท่านเจ้าอาวาสได้มีแนวทางในการปกครอง โดยเป็นกระบวนการที่คณะสงฆ์ได้มีการปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นแนวทางอย่างชัดเจน แต่หากเจ้าอาวาสปกครองไม่ถูกต้องก็มีกระบวนการในการร้องเรียนไปถึงเบื้องบนตั้งแต่เจ้าเจ้าคณะแขวง เจ้าคณะเขต เป็นลำดับชั้นไป แต่ที่ได้พูดคุยกันในวันนั้น ฝ่ายพระมหาวีรวงศ์ ได้ความเข้าใจและน้อมรับกับสิ่งที่ชี้แนะไป จึงได้ให้ อาตมาเป็นตัวแทนหารือกับพระครูโสภณกิจจานุกิจ เจ้าอาวาส ว่าพระลูกวัดทั้งหมดได้มีความเข้าใจในแนวทางการปกครองในวัด และขอยุติปัญหา ทั้งหมดซึ่งจะเป็นภาพที่ประชาชนรอบวัดและพุทธศาสนิกชนเกิดความไม่สบายใจ และก็ เป็นจุดเริ่มต้นของการหันหน้าเข้าหารือกันในเบื้องต้นและคิดว่าทุกปัญหาที่พูดคุยด้วยวาจาได้จบลงแล้ว
หลวงพี่น้ำฝน กล่าวอีกว่า อาตมาเข้าไปในฐานะเป็นพี่เป็นน้องเป็นเพื่อน ในการเอาแนวทางปกครองคณะสงฆ์ไปพูดคุยกัน และขอให้แยกออกเป็นทั้งสองส่วน นั่นคือส่วนของ การปกครองในวัด และการฟ้องร้องดำเนินคดีกัน โดยในส่วนที่อาตมา ได้เข้าไปพูดคุยเป็นเพียงเรื่องของการปกครองแบบคณะสงฆ์ เพื่อให้เกิดความเรียบร้อย และเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้าน ส่วนเรื่องคดีที่มีการฟ้องร้องกันนั้นไม่ได้ข้องเกี่ยวด้วย เพราะถือเป็นคนละส่วน นี่คือที่มาของการเข้าไปเจรจาเป็นตัวแทนให้ปัญหาทุกอย่างจบลง ส่วนการจะถอนฟ้องกันหรือไม่นั้นไม่ได้เกี่ยวด้วย
หลวงพี่น้ำฝน กล่าวต่อว่า การปกครองแบบคณะสงฆ์ก็ไม่ต่างอะไรกับเอกชน หากเกิดปัญหาขึ้นต้องมีการเจรจากันต้องประชุมกันเพื่อหาทางออก แต่ที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีการ หาตัวแทนหรือคนกลางที่จะเข้าประสานรอยร้าวนี้ได้ แต่อาตมาใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงและชี้แจงเรื่องต่างๆให้เข้าใจ คณะของพระลูกวัดก็น้อมรับและเข้าใจ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ วัดหลายแห่งก็มีมีการขัดแย้งกัน จึงจะต้องมีการประชุมสงฆ์ เพื่อยุติปัญหา นั่นต่างหากหมายถึงการที่ได้มีการเปิดใจคุยกันยอมรับกันเคารพกัน ซึ่งไม่จำเป็นต้องไปลงนาม MOU หรือฟ้องร้องกันจนเป็นเรื่องราว ซึ่งเรื่องนี้อาตมายืนยันว่าเรื่องของวัดจันทร์ใน ในกระบวนการปกครองของสงฆ์ได้จบสิ้นลงแล้ว ก็ไม่มีเหตุอะไรที่จะต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก วันนี้พระในวัดปรองดองกัน อาตมาคิดว่า ทุกฝ่ายชนะแล้ว พระในวัดชนะกันด้วยใจ ญาติโยมมีวัดที่สงบเงียบการปกครองในรูปแบบของวัดจันทร์ใน ญาติโยมเข้ามาทำบุญตักบาตรได้อย่างสบายใจสบาย นี่คือปลายทางที่อาตมายอมไปเป็นตัวแทนพูดคุยและเจรจาเรื่องนี้ ส่วนเรื่องของคนอื่นอาจตามมาไม่รู้