เสพติดความเป็นพระ หลวงพี่น้ำฝน ตำรวจพระภาค 14 เปิดปฏิบัติการล่าสงฆ์ทิพย์ (พระปลอม) รับอรุณ โดยโคจรกลับมาพบกับอดีตหลวงตาเวิร์ค ฟอร์ม โฮม ที่เพิ่งจู่โจมบุกไปบ้านเชิญไปสึกเมื่อสัปดาห์ก่อน ขณะแอบสวมจีวร อุ้มบาตตะเวนรับอาหารชิลยามเช้าในตลาดดังติดกับสถานีขนส่งจังหวัดนครปฐม โดยเจ้าตัวหน้าถอดสีเมื่อเจอกัน แถมเตรียมพุ่งขึ้นรถหวังขับหนี แต่ถูกล๊อคตัวไว้ได้ โดยพ่อค้าเพิ่มถวายมะนาว ถึงกับร้องเสียงหลงเพราะเพิ่งดูข่าว รอบนี้ส่งตัวดำเนินคดี 2 ข้อหาทั้งปลอมแปลงเอกสารราชการและแต่งกายเรียนแบบพระ ทนายดังชี้หากกระทำผิดซ้ำซากศาลอาจพิจารณาไม่รอลงอาญาได้ด้วย หลวงพี่น้ำฝนแจ้งประชาชนแจ้งมาพร้อมลุยจับตัดขาดผ้าเหลือง
วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 67 เวลา 06.30 น. พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม ในฐานะประธานคณะทำงานดำเดินการแก้ไขข้อขัดข้อง ระงับเหตุ และแก้ไขปัญหาอธิกรณ์ข้อร้องเรียนในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค 14 (พระวินยาธิการ) ได้ออกตรวจสอบ ความเรียบร้อยของพระภิกษุสงฆ์ใน การออกบิณฑบาตช่วงเช้าบริเวณ ในเขตพื้นที่อำเภอเมืองนครปฐม หลังจาก เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาได้เข้าตรวจสอบ กรณีประชาชนร้องเรียนมีพระภิกษุสงฆ์ไม่จำพรรษาที่วัด และมีบางรายอาศัยอาศัยอยู่ในบ้านกลางเมืองนครปฐม เป็นลักษณะ เหมือนการปฏิบัติกิจแบบเวิร์คฟอร์มโฮม นำไปสู่ กระบวนการจับสึกซึ่งเป็นข่าวที่ประชาชนให้ความสนใจถึง พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพระภิกษุสงฆ์ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ
โดยเมื่อมาถึงที่กำลังสถานีขนส่งจังหวัดนครปฐมติดกับตลาดปฐมมงคล ได้มีประชาชนส่งข้อมูลว่ามีพระภิกษุสงฆ์สูงวัยลักษณะพฤติกรรมคล้ายคล้ายกับหลวงตาอายุ 70 ปีที่ไม่ยอมกลับไปจำพรรษาในวัดแต่กลับมาอาศัยอยู่ในบ้านพักกลางเมืองนครปฐมออกบิณฑบาตอยู่ในบริเวณดังกล่าว จึงได้มีการติดตามดูพฤติกรรมกระทั่งพบ รถกระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นไทเกอร์ สีบรอนซ์ทอง เป็นลักษณะเดียวกับรถของหลวงตารูปดังกล่าวที่ถูกจับสึกไปเมื่อเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาจอดอยู่ที่ริมถนนภายในสถานีขนส่งจังหวัดนครปฐม ซึ่งคณะทำงานได้มีการออกตรวจ กระทั่งพบพระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่งมีลักษณะคล้ายกัน ได้ออกบิณฑบาตเดินอยู่ในพื้นที่ตลาดและมีการหยุดแช่เพื่อรอ ญาติโยมขาประจำที่จะมาใส่บาตรในเวลาดังกล่าว จึงได้เฝ้าติดตามพฤติกรรมกระทั่งแน่ชัดว่าเป็นพระภิกษุรูปเดียวกันกับที่ปรากฏเป็นข่าวเมื่อสัปดาห์ก่อน
โดยหลวงพี่น้ำฝน ได้เฝ้ารอ ตรวจสอบอยู่ที่บริเวณรถ ต้องสงสัยคันดังกล่าว กระทั่งเวลาประมาณ 06.40 น. พระภิกษุสงฆ์ รูปดังกล่าวได้เดินกลับมาที่รถหลวงพี่น้ำฝนจึงได้เข้าไปแสดงตัวและขอตรวจสอบเอกสาร โดยทำให้พระ รูปดังกล่าวเกิดอาการตกใจและยอมจำนนนั่งอยู่ที่ข้างรถ ดังนั้นหลวงพี่น้ำฝนได้ยืนยันกับคณะทำงานว่าเป็นพระรูปเดียวกันกับที่มีการร้องเรียนซ้ำเข้ามาและเป็น คนเดียวกับพี่มีการสึกไปแล้วก่อนหน้าแต่ได้กลับมาบวชและสวมเครื่องแต่งกายเป็นพระภิกษุอีกครั้ง จากนั้นได้มีการสอบถามว่าได้มีการกลับไปบวชครั้งหรือไม่และได้รับคำตอบว่าไม่ได้กลับไปบวชแต่เป็นการนำจีวรกลับมาสวมและออกบิณฑบาตตามปกติโดยคิดว่าเป็นความผิดเล็กน้อย
ซึ่งขณะที่มีการควบคุมตัวเพื่อรอประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลวงตาเวิร์คฟอร์มโฮม ได้พยายามพุ่งหนีออกจากเก้าอี้และพยายามจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถเพื่อจะพยายามหลบหนีแต่ติดที่ตัวหลวงพี่น้ำฝนและลูกศิษย์ที่สามารถจับล็อคตัวได้ทันก่อนจะให้นั่งสงบสติอารมณ์เพื่อรอการประสานงานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ สภ.เมืองนครปฐม มาทำการรับตัวเพื่อนำไปตรวจสอบเอกสารหนังสือสูจิบัตรและเอกสารอื่นๆอีกครั้ง ขณะเดียวกันได้มีพ่อค้าแม่ค้าที่ได้ใส่บาตรกับหลวงตาเวิร์คฟอร์มโฮม ไปเพียงไม่กี่นาทีซึ่งเห็นเหตุการณ์จึงได้เดินมาดูและ แจ้งว่าเพิ่งใส่มะนาวไปหนึ่งถุงและมาพบว่ามีการจับกุมเนื่องจากเป็นพระปลอม ทั้งยังเป็นคนที่ปรากฏเป็นข่าวจึงได้ บอกว่าเสียความรู้สึกและได้หยิบโทรศัพท์มือถือถ่ายภาพส่งไปให้ภรรยาดูและบอกว่านี่คือพระที่เป็นข่าวเมื่อไม่กี่วันก่อน เป็นจังหวะที่มีประชาชนกลุ่มหนึ่งมายืนมองดูเหตุการณ์ และแสดงความรู้สึกเบื่อหน่ายกับพฤติกรรม โดยหลวงพี่น้ำฝนได้แจ้งว่าหากพบพฤติกรรมดังกล่าวให้แจ้งตรงมาที่ตนเองหรือให้มาแจ้งข้อมูลไว้ที่วัดไผ่ล้อมจะรีบมีการดำเนินการโดยเร็วดังกรณีนี้ที่มีการจับกุมมาแล้วถึงสองครั้ง
แต่เมื่อไปถึงวัดไผ่ล้อมปรากฏว่ายังมีการพกหนังสือสูจิบัตรเล่มเดิมที่มีการปลอมแปลงเอกสารไปแล้วครั้งแรกโดยมีการเพิ่มเติมข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่จำวัดเป็นสำนักสงฆ์ในจังหวัดกาญจนบุรีแต่เป็นลายมือตัวเองและลงนามว่าเป็นเจ้าอาวาส ซึ่งหลวงพี่น้ำฝนได้ยืนยันว่านี่คือการกระทำความผิดซ้ำเช่นเดิมจึงได้นิมนต์เจ้าคณะตำบลพระปฐมเจดีย์ เจ้าคณะอำเภอเมืองนครปฐม ตัวแทนเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม ให้เข้ามาตรวจสอบเอกสารทั้งหมดอย่างละเอียดอีกครั้งซึ่งก็ยังมีการสารภาพว่ายังไม่ได้มีการกลับไปบวชแต่มีการกลับมาแต่งกายจริงและออกบิณฑบาตตามปกติ จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ควบคุมตัวเพื่อไปทำการสอบสวน ข้อมูลเพิ่มเติมอีกครั้ง
หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม กล่าวว่า หลวงตาเวิร์คฟอร์มโฮม มีการรวบรวมข้อมูลข้อมูลว่ามีการถูกจับกุมและถูกจับศึกมาแล้วไม่น้อยกว่าสองถึงสามครั้งแต่ก็ไม่ได้มีการหยุดพฤติกรรมและยังคงกลับมาแต่งกาย ด้วยการสวมจีวรเป็นพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเป็นการกระทำความผิดเข้า มาตราในกฎหมายอาญา ทั้งการปลอมแปลงเอกสารทางราชการและการแต่งกาย ให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าเป็นพระสงฆ์ เมื่อหลวงตาไม่สนใจการปกครองแบบคณะสงฆ์ซึ่งได้มีมติให้ลาสิกขาออกไปแล้ว จึงจำเป็นต้องดำเนินคดีทางกฎหมายอาญา โดยได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่จากสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐมเป็นตัวแทนในการไปลงบันทึกประจำวันและแจ้งข้อกล่าวหา ไว้ก่อน
หลวงพี่น้ำฝน กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีนี้ประชาชนได้ร้องเรียนมาบ่อยบ่อยครั้งทั้งก่อนที่มีการให้ลาสิกขาไปแล้วและเมื่อสองวันก่อนได้มีประชาชนแจ้งเบาะแสจึงได้ลงพื้นที่ตรวจสอบและมาพบว่าเป็นหลวงตาเวิร์คฟอร์มโฮมคนเดียวกับที่ ได้ตามไปตรวจสอบถึงบ้านพัก ซึ่งลักษณะนี้ประชาชนมีความเบื่อหน่ายและวิตกว่าจะได้ใส่บาตรหรือทำบุญกับพระแท้หรือไม่ กรณีนี้จึงจำเป็นที่จะจะต้องดำเนินคดี ให้เป็นเยี่ยงอย่าง
ส่วนกรณีที่มีประชาชน สงสัยว่า ตำรวจพระคืออะไร ตนเองในฐานะที่มีตำแหน่งประธานคณะทำงานดำเดินการแก้ไขข้อขัดข้อง ระงับเหตุ และแก้ไขปัญหาอธิกรณ์ข้อร้องเรียนในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค 14 ซึ่ง เป็นตำแหน่งที่ ถูกแต่งตั้งอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งก็คือพระวิมยาธิการ หรือตำรวจพระ โดยได้รับสนองงานจาก พระธรรมวชิรานุวัตร์ เจ้าคณะภาค 14 เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง เพื่อดูแลให้คณะสงฆ์ให้ปฏิบัติอยู่ในกฏของมหาเถระสมาคม ซึ่งอย่างกรณีนี้ก็ไม่มีการเลือกที่จะปฏิบัติแต่เป็นการร้องเรียนเข้ามาโดยตรงจากประชาชน โดยมีพื้นที่รับผิดชอบ ประกอบด้วยจังหวัดนครปฐม สุพรรณบุรี สมุทรสาครและกาญจนบุรี ซึ่งหากประชาชนท่านใดพบพฤติกรรมไม่เหมาะสมหรือมีความสงสัยว่าบุคคลนั้นจะเป็นพระภิกษุสงฆ์จริงหรือไม่ก็ขอให้ติดต่อเข้ามาโดยตรงที่อาตมาได้เลย โดยจะมีคณะทำงานเป็นทีมที่จะเข้าไปถึงปัญหาอย่างรวดเร็วเพื่อให้ญาติโยมมีความมั่นใจในคณะสงฆ์
โดย พ.ต.อ.ภูภณ ทัพเจริญ ผกก.สภ.เมืองนครปฐม ได้มีการเข้าสอบปากคำหลวงตาเวิร์คฟอร์มโฮม ด้วยตัวเองโดยระบุว่า ได้เคยมีการจับกุมบุคคลรายนี้ไปแล้วเมื่อ 4 ปีก่อนโดยได้มีการให้สัญญาว่าจะไม่กลับเข้ามาแต่งกายเป็นเหมือนพระสงฆ์หรือเข้ามาอยู่ในพื้นที่อีก จากนั้นได้สอบถามประวัติและตรวจสอบเอกสารเพิ่มเติมจากที่มีการจับกุมตัวได้ครั้งแรกโดยพบว่ารถยนต์ที่ใช้ในการขับมาบิณฑบาตเป็นรถที่ใช้ในการก่อเหตุจึงได้มีการขออายัดไว้เพื่อขอตรวจสอบรายละเอียด อีกครั้งว่าเป็นรถของใคร โดยได้มีการให้นำของกลางที่ก่อเหตุเป็นจีวร บาทสแตนเลส ขนม ที่ได้จากการบิณฑบาตในช่วงเช้ามาแสดงไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งหลวงตาเวิร์คฟอร์มโฮมจากที่ มีอารมณ์เกรี้ยวกราดได้เริ่มลดความร้อนแรงเนื่องจากเริ่มทราบว่ามีข้อกล่าวหาทางกฎหมายเพิ่มขึ้น
ขณะที่นายศุภภัทรพจน์ นิติศศธร ทนายความ ในฐานะนายกสมาคมไวยาวัจกรแห่งประเทศไทย ได้ให้ความเห็นไว้ว่า กรณีดังกล่าวของหลวงตาเวิร์คฟอร์มโฮม การกระทำที่ทำมาอย่างต่อเนื่องเป็นที่เอื้อมระอาของคณะสงฆ์ผู้ปกครองทั้งเจ้าคณะตำบลและเจ้าคณะอำเภอ เป็นไปได้ว่าศาลท่านจะไม่รอลงอาญา เพราะปล่อยมาแล้วอาจจะกลับมาก่อเหตุอย่างนี้อีก และครั้งหลังก็ไม่มีใครบวชให้ และยังมีการขับรถมาบิณฑบาตแบบนี้เรียกว่าเป็นการแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ ซึ่งหากพ้นโทษมาแล้วก็ยังไม่มีอะไรการันตีได้ว่าท่านจะกลับมาทำพฤติกรรมแบบนี้อีกหรือเปล่า
นายศุภภัทรพจน์ กล่าวอีกว่าสำหรับกรณีนี้เข้าอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 208 บัญญัติว่า”ผู้ใด แต่งกายหรือใช้เครื่องหมายที่แสดง เป็นพระภิกษุสามเณร นักพจน์หรือนักบวชในศาสนาใดโดยมิชอบ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นบุคคล เช่นว่านั้น ต้องระหว่างโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาทหรือทั้งจำ ” ส่วนข้อหาปลอมเอกสารหรือใช้เอกสารปลอม จำคุกไม่เกิน 3 ปีปรับไม่เกิน 60,000 บาท นี่หมายถึง 1 กรรม แต่ถ้ามากว่า 1 กรรม ก็เรียงกระทงกันลงโทษ