วันนี้(7 ก.พ.67) เวลา 10.00 น. ที่วัดโรงช้าง ต.ศาลาขาว อ.เมืองสุพรรณบุรี พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พลตำรวจโทนัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๗ และพลตำรวจตรี วัชรินทร์ ประสพดี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมคณะมอบเงินช่วยเหลือครอบครัวผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์โรงงานพลุระเบิด เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและมีทรัพย์สินเสียหายเป็นจำนวนมาก จากเหตุการณ์พลุระเบิดในครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง ๒๓ ราย นำมาซึ่งความสูญเสียและความเดือดร้อนแก่ครอบครัวผู้ประสบภัยเป็นอย่างมาก
พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวให้กำลังใจครอบครัวผู้สูญเสีย ว่า สำนักตำรวจแห่งชาติตำรวจภูธรภาค ๗ และตำรวจภูธรจังหวัดสุพรรณบุรีได้เล็งเห็นถึงความเดือดร้อนของครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว และเพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครอบครัวผู้ที่ได้รับผลกระทบ จึงได้เปิดบัญชีรับบริจาคเงินช่วยเหลือจากพี่น้องข้าราชการตำรวจทั่วประเทศและประชาชนทั่วไป ขึ้น เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อน เราไม่ต้องการอะไรจากประชาชน เรามีเจตนาอย่างเดียวว่า ในมุมของตำรวจที่มีหน้าที่ในการสืบสวน สอบสวน ความผิดหรือเหตุการณ์ใดๆที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องแบบนี้ เราควรจะให้ความช่วยเหลือกันตามหลักมนุษยชน ขณะเดียวกัน ได้สั่งการให้ตรวจสอบโรงงานดังกล่าวว่าตามลำดับขั้นตอนตามกฎหมาย ขอให้ประชาชนมั่นใจการทำงานของตำรวจว่าจะดำเนินการอย่างละเอียดรอบคอบเพื่อความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ด้านพลตำรวจตรี วัชรินทร์ ประสพดี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุพรรณบุรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ตำรวจภูธรจังหวัดสุพรรณบุรี ได้เปิดบัญชีรับบริจาคเงินช่วยเหลือจากพี่น้องข้าราชการตำรวจทั่วประเทศและประชาชนทั่วไป ผ่านบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาศูนย์ราชการสุพรรณบุรี ชื่อบัญชี “เงินบริจาคเพื่อครอบครัวผู้ประสบภัยโรงงานพลุระเบิด จว.สุพรรณบุรี”เลขที่บัญชี ๓๕๙-0-๓๘๖๙๙-๑ โดยเปิดรับบริจาคตั้งแต่วันที่ ๑๙ – ๓๑ มกราคม ๒๕๖๗ และได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการช่วยเหลือครอบครัวผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์โรงงานพลุระเบิด เพื่อควบคุมการรับเงินบริจาคให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ โปร่งใส และเป็นธรรมจากการเปิดบัญชีรับบริจาคดังกล่าว มียอดบริจาครวมทั้งสิ้น ๙๗๓,๘๑๐.๕๔ บาท
ซึ่งพลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความประสงค์มอบเงินสมทบอีก 15,189.46 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 989,000 บาท และคณะกรรมการได้พิจารณารายชื่อ ผู้ที่ สมควรได้รับการช่วยเหลือตามเอกสารทั้ง ๒๓ ราย จำนวนเท่าๆ กัน รายละ ๔3,000.บาท
