เจริญพรญาติโยมผู้อ่านทุกท่าน ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาใกล้ออกพรรษาแล้ว นอกจากจะเป็นช่วงสำคัญของพระสงฆ์ด้วยสิ้นพรรษกาลแล้ว ยังเป็นช่วงที่คอเหล้าคอสุราอยากให้มาถึงเร็ว ๆ หลังจากงดเหล้าเข้าพรรษามาสามเดือน จริง ๆ แล้วอาจมีคำถามว่า งดเหล้าเข้าพรรษาสามเดือนมันได้อะไร เพราะอีกเก้าเดือนก็เมาแอ๋เหมือนเดิม ตับก็แข็งเหมือนเดิม แต่ก็ดีกว่าไม่เริ่มอะไรเลย
สำหรับคนที่จะเลิกเหล้านั้น การหักดิบมันยาก การตั้งเป้าหมายไว้ว่าสามเดือนนี้ฉันจะไม่กินเหล้าถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี กำลังดี เพราะว่าถ้าเลิกหนึ่งสัปดาห์ หนึ่งเดือน มันยังไม่เห็นอะไรมากหรอก ยิ่งทรมานสุด ๆ เวลาถึงวันที่ 25 พอครบเดือนปุ๊บก็แทบจะกรอกเหล้าเข้าปาก แต่สามเดือนนั้น มันเห็นความเปลี่ยนแปลงของร่างกายเลย วันแรก ๆ มันยาก ยิ่งคนที่กินหนัก ๆ แล้วมาหักดิบนี่คือร่างกายอาจรวนได้ แต่พอผ่านไปเรื่อย ๆ บางคนก็กินลดลงเรื่อย ๆ จากทุกวันก็เว้นวันให้ห่างขึ้น เดี๋ยวร่างกายมันปรับตัว พอถึงเดือนที่สาม เห็นความเปลี่ยนแปลง คิดในใจว่า เออ ไม่กินเหล้ามันก็อยู่ได้เหมือนกันแหะ ทีนี้จากสามเดือน จะเป็นหกเดือน แปดเดือน เป็นปี หรือเลิกเหล้าไปเลย หรือกินก็ได้ ไม่กินก็ไม่ตาย
สามเดือนเป็นเวลาที่เราจะเห็นว่าร่างกายมันเปลี่ยนแปลงไปจริง ๆ เพราะสุราไม่ได้ส่งผลแค่ร่างกายเท่านั้น แต่จิตใจก็ด้วยเช่นกัน ตั้งแต่ความจำเสื่อม บุคลิกเปลี่ยนไป ซึมเศร้า ประสาทหลอน ความสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้างเปลี่ยนไป ทั้งนี้ก็ด้วยพิษสุราทำลายประสาทและสมอง หากลด ละ และเลิกสุราลงได้ ร่างกายก็จะเริ่มฟื้นฟูตนเอง ยิ่งเลิกได้เร็ว ยิ่งดี เพราะร่างกายจะยังไม่เสียหายมากเกินกว่าจะฟื้นฟู
อีกวิธีหนึ่งที่น่าจะทำให้เลิกเหล้าได้ คือ เจอโทษภัยของความเมาด้วยตนเอง
ความร้ายแรงของความเมานั้น มันร้ายแรงเกินกว่าที่ใครคิด คนที่เมาก็บอกว่า ฉันไม่เมา ฉันมีสติ แค่เดินไม่ตรงก็เท่านั้นเอง แต่ตอนนั้นแหละไม่มีสติแล้ว จะพูดอะไรก็พูดไปจะทำอะไรก็ทำไป ไม่มีสติควบคุม ความจำมันยังจำได้ จำได้พูดได้เป็นคุ้งแคว แต่สติกำกับไม่มี ใครจะล้วงความลับอะไรก็ล้วงได้ตอนเมานี่แหละ หรือเวลาอารมณ์มันขึ้น มันก็ขึ้นสุด ลงสุด มีราคะ โทสะยังไง มันก็แสดงออกทันทีไม่มีปิดบัง ไม่มีอะไรมาควบคุมได้ถ้าเกิดโทสะก็ทะเลาะก็บวกเขาเลย ถ้ามีราคะอยากจะทำอะไรมิได้มิร้ายก็ทำเลย จนต่อเมื่อสร่างเมานั่นแหละ จึงจะรู้และคิดว่านี่ทำอะไรลงไป
คนเมาก็เลยเหมือนคนบ้าชั่วขณะหนึ่ง แต่ถ้าพิษสุราขึ้นสมองเมื่อไหร่ก็อาจจะบ้าถาวรได้
คนบ้ากับคนปกติต่างกันตรงสติสัมปชัญญะ คนบ้านั้น ที่ว่าบ้าจริง ๆ หรือภาษากฎหมายเรียกคนวิกลจริต เพราะไม่สามารถจะมีสติควบคุมการกระทำของตนเองได้
ในเมื่อคนเมา และคนบ้า ไม่สามารถควบคุมการกระทำของตนเองได้เพราะไม่มีสติเวลาเราเผชิญกับคนเมา คนบ้า ก็อย่าไปอะไรนักเลย เสียเวลาเปล่า แถมจะเจ็บตัวกลับมาเสียอีก อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา เพราะเหมือนเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ
เช่น ถ้าเขาต่อล้อต่อเถียงกับเรา มาหาเรื่องเรา เขาบอกว่าเขาไม่เมา เขาไม่บ้า แต่เรานี่ได้กลิ่นละมุดเน่าฟุ้งมาแต่ไกล เราได้ยินเขาด่าพ่อล่อแม่เรา เราก็โกรธ โกรธแล้วก็ไปต่อล้อต่อเถียงกับเขา ไปจนถึงลงมือทำร้ายด่าตี เขาก็สู้กลับเต็มที่เพราะปกติคนเมาคนบ้าอารมณ์มันขึ้นสุดลงสุด แบบนี้น่ะเสียแรงเปล่า เพราะไอ้คนเมา คนบ้า ที่ด่าเรา มันไม่รู้ว่ามันทำอะไร มีแต่เรานั่นแหละเจ็บตัวฟรี ๆ คนเราก็ต้องระวังตัวอย่าไปเขาทางตีนเขา เพราะอย่าหวังเลยว่าเขาจะปราณี คนไม่มีสติแล้ว มันทำอะไรเหนือกว่าที่คิดเยอะ
อาตมาพูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าเข้าข้างคนเมานะ แต่ว่าจะเตือนว่าคนเมา คนบ้าสุดจะหยั่งรู้ได้ อันตรายนัก สู้รักษาตัวไว้อย่าได้เปลืองตัวจะดีกว่า และให้ดูเป็นอุทาหรณ์เอาเถิดว่า คนเมาเป็นแบบนี้ คนบ้าเป็นแบบนี้
สมัยรัชกาลที่ 4 มีเจ้านายบางพระองค์ที่มักทรงเมาเป็นนิจ พอเมาแล้วก็มักจะเตะต่อยคนอื่นด้วยอำนาจความเมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงออกประกาศเลยว่า ถ้าผู้ใดไม่มีกิจก็อย่าไปวังของเจ้านายพระองค์นั้น
เดี๋ยวจะเจ็บแบบไม่รู้ตัว…
พอเห็นอำนาจความเมา ที่เสมอด้วยความบ้าด้วยแล้ว ก็จะเห็นตนเองว่าถ้าเมาก็เป็นแบบนี้ คนบ้าเป็นแบบนี้ ถ้าไม่อยากเป็นแบบนั้นก็อย่าเมา เหล้ายานั้นเลิกได้ก็เลิกเถิดถ้าเลิกไม่ได้ก็ละอย่าให้มันหนักจนถึงเมา
อาตมาหวังว่า สำหรับคนที่งดเหล้าเข้าพรรษา ออกพรรษานี้ก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นในการลด ละ และเลิกสุราในระยะยาว เพื่อไม่ให้เราต้องกลายเป็นคนเมาที่เสมอด้วยคนบ้า จนไม่อยากจะมีใครเข้าใกล้
ขอเจริญพร