เจริญพรญาติโยมผู้อ่านทุกท่าน บัดนี้ก็เข้าสู่เดือนพฤษภาคม ก็เกือบจะครึ่งปีแล้ว ถือว่าวันคืนได้ผ่านไปเร็วมาก เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน อาตมาก็ได้จัดให้มีพิธีบวงสรวงราหูกลืนทรัพย์ ในคราวที่ราหูเดินทับพระอาทิตย์ และพอถึงคราวราหูเดินทับจันทร์ ก็เกิดราหูอมจันทร์ขึ้น ภาษาวิทยาศาสตร์เรียกว่า จันทรุปราคา นั่นเอง อาตมาจะเล่าในทางวิทยาศาสตร์ว่าจะมีจันทรุปราคาเงามัวเกิดขึ้น คนบนโลกก็จะเห็นจันทรุปราคาเงามัวคือ จะเห็นดวงจันทร์สว่างน้อยลง เพราะดวงจันทร์เคลื่อนเข้าไปในเงามัวของโลกนั่นเอง
คนโบราณรู้จักจันทรุปราคามานมนาน สามารถคำนวณได้ว่าดวงจันทร์ กับเงามืดเงามัวจะมาเจอกันเมื่อไหร่ เงามืดเงามัวที่ว่าก็คือราหูนั่นแหละ มนุษย์เรารู้จักสังเกตการณ์เคลื่อนที่ของดวงดาว และรู้ว่าการเคลื่อนที่ของดวงดาวเหล่านี้มีอิทธิพลต่อดวงชะตาดาวแต่ละดวงมีลักษณะเฉพาะตัวเป็นของตน คนทั่วโลกเหมือนจะรู้เรื่องเหล่านี้เหมือน ๆกัน คนอินเดียกับคนยุโรปรู้เหมือนกันว่าดวงอาทิตย์มีความหมายอะไร ดาวอังคารเป็นเทพแห่งสงครามเหมือนกัน ดาวศุกร์เป็นเรื่องสวยงาม ดาวเสาร์เป็นเรื่องเกษตรเหมือนกัน แต่ข้างอินเดียนี้มีพิเศษหน่อย คือ มีราหู ราหูมาทับดวงอาทิตย์ ทับพระจันทร์ ก็มีผลต่อดวงอาทิตย์ พระจันทร์ แล้วก็มีผลต่อดวงชะตา อันนี้ก็คือวิชาโหราศาสตร์โหราศาสตร์กับดาราศาสตร์เนื้อแท้ก็มีต้นรากอย่างเดียวกัน คือ การเฝ้าดู สังเกตการณ์เคลื่อนที่ของดวงดาว และมองเห็น สัมผัสได้ว่าดวงดาวนี้มันมีผลกับคน เพียงแต่ว่าสมัยหลังมา เขาไปศึกษาอะไรเพิ่มเติมมากขึ้น เอากล้องไปส่องไปอะไร ลามไปถึงส่งยานอวกาศไปสำรวจ นั่นก็กลายเป็นวิชาดาราศาสตร์ขึ้นมา
ดาวที่สำคัญ ๆ ก็มีอยู่ 9 ดวงด้วยกัน ก็คือ อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ เสาร์ พฤหัสบดี ราหูศุกร์ เกตุ อาจแบ่งขั้วได้เป็นดาวศุภเคราะห์ คือให้ผลดีเป็นส่วนใหญ่ ได้แก่ จันทร์ พุธพฤหัสบดี ศุกร์ และดาวบาปเคราะห์ คือให้ผลร้ายเป็นส่วนใหญ่ ได้แก่ อาทิตย์ อังคารเสาร์ ราหู คนโบราณรู้คุณสมบัติของดาวเหล่านี้ เมื่อโคจรไปยังตำแหน่งใดก็สามารถใช้ทำนายทายทัก และมีความแม่นยำสูง โหรที่เก่ง ๆ แค่ได้เห็นดาวอยู่ในตำแหน่งอะไรก็รู้ว่าจะต้องทายอย่างไร แล้วก็ทายแม่นเป็นอัศจรรย์ ความรู้เรื่องดาวนพเคราะห์นั้นก็ถือว่าเป็นแม่บทเลยของโหราศาสตร์ไทย เรียกว่าถ้าอยากจะเข้าสู่โลกของโหราศาสตร์ไทย ต้องเริ่มที่ดาวนพเคราะห์นี้ก่อน ว่ามีอะไรบ้าง มีคุณสมบัติอย่างไร จากนั้นก็ค่อยแยกไปเป็นวิชาวางลัคนา หรือเรื่องเทวดานพเคราะห์เสวยอายุแทรกอายุ ซึ่งก็มีรายละเอียดปลีกย่อยต่างกันไป
ทีนี้ ในวันที่ 5 ต่อ 6 พฤษภาคม 2566 ราหูก็จะมาเจอกับจันทร์ เกิดเป็นราหูอมจันทร์ขึ้นฉะนั้นเมื่อราหู (๘) ไปรบกวนจันทร์ (๒) ก็ย่อมมีผลต่อดวงชะตาของผู้คนที่เกี่ยวข้องกับจันทร์ (๒) เพราะว่าจันทร์ถูกรบกวน
ราหูนั้นก็เป็นเทวดานพเคราะห์สายบาปเคราะห์ ถ้าตามตำนานเฉลิมไตรภพก็เล่าว่าพระอิศวรผู้เป็นเจ้าให้เอาหัวผีโขมดมาป่นลงแล้วห่อด้วยผ้าสีดำพรมน้ำอมฤต เกิดเป็นพระราหู แต่ถ้าเล่าตามปุราณะก็ยิ่งบันเทิงเข้าไปใหญ่ เท้าความตั้งแต่เรื่องกวนเกษียรสมุทรละก็อสูรราหูเข้ามาแอบกินน้ำอมฤตที่กวนได้และสงวนไว้ให้เทวดาเท่านั้น ทำให้พระนารายณ์ขว้างจักรตัดตัวราหูขาด ตั้งแต่นั้นราหูก็มีจิตคิดโกรธแค้นพระอาทิตย์และพระจันทร์ เพราะเทวดาทั้งสองนี้ เป็นผู้นำความไปฟ้ององค์มหาเทพ เจอกันเมื่อไรก็ต้องจับกินจับกลืนใส่ท้องไป ตำนานนี้ก็ตรงกับเรื่องในโหราศาสตร์ไทยว่า ราหูกับอาทิตย์และจันทร์ไม่ถูกกัน เป็นหลักการที่โหรไทยรับทราบโดยทั่วกัน
แม้ราหูจะเป็นดาวบาปเคราะห์ แต่คติไทยก็ถือว่า ถ้าไหว้ดีพลีถูก ก็จะสามารถรับส่วนดีมาได้ เพราะดาวแต่ละดวงก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีดีเต็มร้อย หรือเสียเต็มร้อย มันมีทั้งส่วนที่ดี และส่วนที่เสีย ขึ้นกับปัจจัยอื่น ๆ มากมายตามตำราโหร พระราหูก็เช่นกัน แม้จะเป็นบาปเคราะห์ แต่ก็มีส่วนอันเป็นคุณอยู่ พอเป็นแบบนี้แล้วก็เลยให้ตั้งพิธี บวงสรวงพระราหู “กลืนทรัพย์” ในวันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม 2566 พิธีเริ่มเวลา 19.19 น.
เวลา 19.19 น. พิธีสวดนพเคราะห์ เสริมบารมี ก็จะสวดบูชาทุก ๆ พระองค์ คือทั้ง 9 พระองค์ ไหว้ฝ่ายศุภเคราะห์ก็ยิ่งดี ไหว้ฝ่ายบาปเคราะห์ก็เปลี่ยนร้ายกลายเป็นดีได้
เวลา 21.00 น. พิธีขอขมากรรม ถอนคำสาบาน ถอนคำสาปแช่ง อาตมาขอยืนยันเลยว่าวัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐมนี้เป็นต้นตำรับของการขอขมากรรม ถอนคำสาบาน ถอนคำสาปแช่ง เพราะได้ทำมานานเกือบจะ 20 ปีแล้ว จนเป็นพิธีประจำ พิธีเด่นของวัดไผ่ล้อมผู้เข้าร่วมพิธีจะได้รับแจกคำขอขมากรรม เป็นบทเฉพาะของทางวัด ซึ่งใช้ได้ครอบคลุมเพื่อเริ่มต้นใหม่ สำนักในสิ่งไม่ดีที่เคยทำมา และตั้งใจว่าอย่าได้ทำอีก
เวลา 22.14 – 00.09 น. พิธีปลุกเสกผู้มาร่วมพิธี ด้วยวิชาราหูนำโชค โดยคณาจารย์แห่งซุ้มขมังเวทย์จากทั่วประเทศ เสริมความปังแก่ผู้เข้าร่วมพิธีทุกคน
พิธีจะจัดขึ้นที่วัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม ก็สามารถมาได้ตามวันเวลาที่ประชาสัมพันธ์ไปนี้ ขอเจริญพร