วงการสงฆ์ไม่แผ่ว หลวงพี่น้ำฝน ชื่นชมทนายอนันต์ชัย จัดระเบียบร้านค้าวัดพระธาตุพนม บอกทำดีเพื่อศาสนาแท้จริง ทำดีต้องมีบาดเจ็บบ้าง ขณะที่หลวงพี่น้ำฝน ย่องเงียบตรวจพระสงฆ์ยืนแช่รับบาตร หน้าร้านอาหารจุดเดิม พบเป็นพระหน้าเดิมกลับมาอีก สอบถามมีปากเสียงจนต้องนิมนต์ขึ้นรถให้พระวิยาธิการ ชั้นปกครองมาทำหนังสือรับสภาพ โดยเน้นเตือนแล้วจากนี้ยังฝืนไล่ออกจากวัดและจับสึกทันที
วันที่ 4 พฤษภาคม 66 พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม อ.เมืองจ.นครปฐม เผยว่า จากกรณี ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรมได้เข้าจัดระเบียบพ่อค้าแม่ค้า ที่พระธาตุพนม จนปรากฏภาพมีปากเสียงขึ้นของทั้ง 2 ฝ่าย ก่อนที่จะมีการประกาศปิดวัดพระธาตุพนม เป็นเวลา 1 เดือน โดยไม่เปิดให้ใครเข้าสักการะ เพื่อให้มการจัดระเบียบให้เรียบร้อย จึงจะกลับมาเปิดอีกครั้งหนึ่ง
หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม เผยว่าการที่ทนายอนันต์ชัย ได้เข้ามาดำเนินการเรื่องดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งหลวงพ่อเจ้าอาวาสได้เข้ามาขอความช่วยเหลือและทำด้วยความถูกต้องโดยมีการดำเนินการเป็นขั้นตอน ซึ่งมีการเรียกเจ้าหน้าที่มาประชุมแต่ไม่จบก็ต้องมีการดังกล่าว ซึ่งทางวัดไผ่ล้อมก็เคยเจอเรื่องนี้มาแล้ว ซึ่งการจะเป็นการมรดกโลกไม่ใช่เรื่องง่ายและเป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ ซึ่งไม่ได้เป็นการไล่แต่จัดระเบียบให้สวยงาม เช่นวัดหลวงพ่อโสธรก็ได้จัดระเบียนมาแล้ว ซึ่งมีรายได้เจ้ามาถึงพ่อค้าแม่ค้าดีเหมือนเดิม และทำให้เศรษฐกิจในพื้นที่นั้นดีทุกคนก็อยู่ได้ดี
“ถ้าเขาทำไม่ถูกต้องก็ต้องมีคนมาค้านแล้ว แต่เขามาจัดะระเบียบให้ดีก็ดีแล้ว และทำด้วยความอะลุ่มอล่วย มาแล้วซึ่งเราจะเอาแต่ถูกใจไม่ได้ต้องเอาความถูกต้องมาด้วยของดีอยู่ตรงไหนก็ขายได้ นี่คือความเป็นจริง ซึ่งคนที่จะหวังดีเข้ามาช่วยพระพุทธศาสนา ย่อมมีบาดแผล แต่เมื่อถึงเวลาบาดแผลนั้นจะสมานไปเอง และคนที่เข้าไปช่วยคือคนที่เขามีใจรักพระพุทธศาสนานั่นเอง” หลวงพี่น้ำฝนกล่าว
ส่วนกรณีการจัดระเบียบคณะสงฆ์ในจังหวัดนครปฐม ซึ่งมีการร้องเรียนจากประชาชนเรื่องการยืนรับบาตรที่หน้าร้านจำหน่ายอาหารสำหรับใส่บาตร หรือมีการจับจองที่ยืนเพื่อที่จะรับบาตรในจุดต่างๆ ในพื้นที่อำเภอเมืองนครปฐม ซึ่งเป็นประเด็นร้อนที่สังคมวิพากษ์วิจารณไปเมื่อสัปดาห์ก่อน เนื่องจากเป็นที่ไม่เหมาะสมและทางหลวงพี่น้ำฝนพร้อมด้วยหน่วยงานที่รับผิดชอบได้ออกตรวจตราพบพฤติกรรมไปแล้ว โดยมีการว่ากล่าวตักเตือนไปแล้วนั้น
ล่าสุดหลวงพี่น้ำฝน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ปกครองอำเภอเมืองนครปฐม เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.เมืองนครปฐม ได้ลงสุ่มตรวจในพื้นที่เดิมอีกครั้ง ก็ยังมีปรากฏพระภิกษุหน้าเดิมได้มีการกลับมายืนแช่รับบาตรหน้าร้านจำหน่ายอาหารเหมือนเดิม ซึ่งได้มีการเข้าไปสอบถามจนเกิดมีปากเสียงกันอีกครั้ง ก่อนที่จะมีการนิมนต์กลับมาที่วัดไผ่ล้อม พร้อมกับนิมนต์พระวินยาธิการ ฝ่านธรรมยุตที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ โดยมีการทำบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ห้ามกระทำอีก ซึ่งถือว่ายังไม่มีกลุ่มเดิม ๆ ที่ยังต่อต้านและไม่รับฟังมติคณะสงฆ์
พลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม กล่าวว่า เรื่องร้องเรียนหลักคือยืนแช่รับบาตรและการจับจองที่เพื่อยืนให้คนมาใส่บาตรโดยหลักคือไม่สามารถยืนได้ ต้องเดินเมื่อได้เหมาะสมแล้วต้องกลับวัดไป แต่นี่ก็ยังพบเจ้าเดิม ซึ่งอาตมายืนยันว่าไม่ได้มาจัดระเบียบผู้ขายแต่มาจัดระเบียบคณะสงฆ์ ในฐานะที่ทำงานเป็น ประธานคณะทำงานดำเดินการแก้ไขข้อขัดข้อง ระงับเหตุ และแก้ไขปัญหาอธิกรณ์ข้อร้องเรียนในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค 14
หลวงพี่น้ำฝน กล่าวอีกว่า อาหารมีอุดมสมบูรณ์มากแน่นอน อย่างที่วัดไผ่ล้อมอาหารจากพระก็ยังตกถึงเด็กวัดๆไผ่ล้อมไปด้วย ซึ่งบางรายก็อ้างว่าร่างกายพิการบ้าง เรื่องนี้อ้างไม่ได้ถ้าไม่ไหวให้อยู่วัดไปก่อน ดังเช่นวัดที่เคยเข้าไปตรวจเจอพระอยู่เป็นสิบรูปแต่ขี้หมาอยู่เต็มวัดไปหมด อยู่กันได้อย่างไร เรื่องนี้ต้องจัดระเบียบ
“จากนี้ มีการตกลงร่วมกับของคณะสงฆ์ทั้ง 2 ฝ่ายคือทั้งสายมหานิกายและธรรมยุต คือหากพบอีกขั้นเด็ดขาดคือนิมนต์ออกจากวัดที่สังกัดหรือให้ลาสิขาไป แน่นอน โดยจะวางระบบไว้คือ ว่ากล่าวตักเตือน ทำทัณฑ์บน และขับไล่หรือจับสึก ซี่งเรื่องนี้มีแต่ญาติโยมชื่นชมเพราะเขาไม่สบายใจ แต่คนที่จะด่าคือกลุ่มคนที่เสียประโยชน์ ก็คิดดูว่าใคร ซึ่งอาตมาต้องทำตามความถูกต้องไม่ใช่ถูกใจ แม้จะถูกตำหนิก็ยอมเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้” หลวงพี่น้ำฝน กล่าวปิดท้าย