พระโบ้ เลี้ยงแม่ได้แล้ว #หลวงพี่น้ำฝน

เจริญพรญาติโยมผู้อ่านทุกท่าน จุดไฟในใจคนฉบับนี้ เป็นฉบับวันมาฆบูชา พุทธศักราช2566 อาตมาอยากให้ทุกคนได้ระลึกถึงความสำคัญของวันมาฆบูชาที่ไม่ใช่แค่วันนี้เป็นวันต้องไปเวียนเทียน หรือพระ 1,250 รูปมาประชุมกันโดยมิได้นัดหมายเป็นองค์ในจาตุรงคสันนิบาต แต่ใจความจริง นั้นอยู่ที่โอวาทปาติโมกข์ ซึ่งมีข้อสำคัญก็คือทำความดี ละเว้นความชั่ว และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ อันเป็นหลักการพื้นฐานหลักสำคัญที่สุดของพุทธศาสนา ที่ชาวพุทธทุกคนควรจะระลึกให้ขึ้นใจ ถามตัวเองว่าเราเป็นชาวพุทธหรือไม่ก็ด้วยโอวาททั้งสามข้อนี้ เราทำตามครบหรือยัง สมบูรณ์มากน้อยไม่เป็นไรแต่ขอให้มีครบทั้งสามข้อ จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าโดยแท้

เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา อาตมา และคณะสงฆ์วัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม ได้เดินทางไปยังพระบาทพลวง เขาคิชฌกูฎ จังหวัดจันทบุรี เพื่อไปประกอบพิธีบวงสรวงเจริญพระพุทธมนต์ เขาคิชฌกูฎที่จันทบุรีนี้เป็นสถานที่แสวงบุญที่ไปได้ยาก เพราะปีหนึ่งจะเปิดแค่ช่วงเดียว มิใช่ว่าอยากไปเมื่อไรก็ไปได้ตามใจปรารถนา เมื่อไปแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะนั่งรถขึ้นไปถึงที่ได้เลย ต้องอาศัยรถของวัดขึ้นไป ทางก็ยากลำบาก โค้งหักศอก ชัน ชนิดที่ใครไม่ใช่คนพื้นที่น่าจะขับได้ลำบาก เส้นทางน่าหวาดเสียวจริง นับว่ารถไม่หงายหลังก็บุญโข ขึ้นทีก็ต้องจับเสาจับราวให้มั่น เดี๋ยวจะโคลงเคลงไปตามรถแล้วรถก็ไปได้แค่ระยะหนึ่ง ทุกคนต้องลงเดินเข้าไปยังพระบาทพลวง ระยะทางจากตรงนี้เป็นทางเดิน เป็นทางเดินดินธรรมชาติที่มีหินระเกะระกะบ้าง มีทางเดินมีบันไดบ้างเป็นระยะทางไกลพอสมควร มีร่มไม้อยู่โดยตลอด อากาศเย็นตามธรรมชาติ แม้ทางจะเป็นทางขึ้นเนินกิโลเมตรกว่า แต่ก็มีผู้คนจำนวนมากเป็นเพื่อนร่วมทางไปกับเรา เดินขึ้นมาเรื่อย จนถึงที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท เป็นรอยพระพุทธบาทบนแผ่นหิน ซึ่งมีหินก้อนใหญ่วางหมิ่นเหม่บนขอบผาอยู่ด้านข้าง คล้ายกับพระธาตุอินทร์แขวนที่พม่าหินนี้เรียกว่าหินลูกบาตร อยู่คู่พระพุทธบาทมาอย่างยาวนาน

แต่แม้จะไปยากลำบากนัก แต่ผู้คนทั้งประเทศต่างใจจดใจจ่อรอวันพระบาทพลวงเปิดให้คนขึ้นไปสักการบูชา และถึงจะต้องเดินทางแต่เช้ามืด เดินถึงเช้าตรู่ เส้นทางจะลำบากยากเข็ญเพียงใด คนก็ยังไปกันแน่นขนัดทุกปี อันนี้เขาเรียกว่า ศรัทธา และเมื่อได้มาถึงที่หมาย เห็นพระบาท เห็นหินบาตร เห็นผ้าแดง ก็มีความปีติในใจ จิตใจมีกำลังขึ้นมา

อาตมาลงจากเขามา นึกถึงว่าร่มเงาพระพุทธศาสนา เป็นสิ่งเสริมกำลังคนให้ดีขึ้น ให้มีกำลังทำความดีมากขึ้น เลยนึกถึงพระที่วัด คือ พระโบ้ พระโบ้นั้นเดิมก็คือคนติดยาที่อาตมาเคยเล่า ที่ติดไปติดมาละก็ลงแดง อยากยา พอไม่ได้กินก็มีอาการ ไปขอเงินแม่แม่รู้แม่ไม่ให้ ก็ทุบตีแม่ เจ็บช้ำไปหมด เรื่องเหล่านี้ลูกศิษย์อาตมาที่วัดเห็นเข้าเรื่อย ก็สลดใจ คุยกันว่าจะทำอย่างไรดี ก็เลยพามาที่วัด ให้บวชเสีย เจ้าตัวก็สมัครใจบวชด้วยก็เลยได้เป็นพระโบ้ อาตมาก็จัดการให้อยู่ร่วมกับสังฆะในวัด เพื่อนร่วมวัดก็ไม่ได้รังเกียจอะไร ก็ช่วย กันดูแลพระโบ้ มีปัจจัย 4 พร้อม ถือว่ามีคุณภาพชีวิตดีกว่าที่เคยเป็นมา อาตมาก็ได้มอบหมายให้พระโบ้ทำกิจต่าง ร่วมกับพระสงฆ์ในวัด ให้กวาดวัดทำให้เรียบร้อย พระโบ้ก็เกิดความภูมิใจว่าได้ทำหน้าที่ของตนโดยสมบูรณ์ แม้จะเป็นหน้าที่เล็ก แต่เมื่อทำแล้วมีผลเป็นประโยชน์ รู้ว่าตนเองมีคุณค่าในตัว ก็เกิดสติเกิดปัญญา ไม่หวนกลับสู่ทางของยาเสพติดอีก

ตอนหลังอาตมาก็ให้โอกาสพระโบ้ได้ติดตามเป็นพระอนุจร ไปงานตามบ้านเวลาเขานิมนต์ให้ไปเจริญพระพุทธมนต์ ก็ทำหน้าที่ได้อย่างดี พระวัดไผ่ล้อมนี่ต้องสวดธัมมจักกัปปวัตนสูตรได้โดยคล่องปาก เข้าปาก ไม่มีโพยนะ นิมนต์พระวัดไผ่ล้อมไปสวดมนต์นี่อย่างต่ำต้องมี 40 นาทีขึ้นไปนะ เพราะสวดแบบจัดเต็มสิบสองตำนาน เข้มขลังจริง พระโบ้ก็ท่องได้ไม่ติดขัด เป็นความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี

พอพระโบ้ได้ปัจจัยใส่ซองมา ก็นำมาฝากไว้ที่พระครูต้อม พระครูต้อมก็สะสมไว้ให้เหมือนเป็นธนาคาร พอถึงกำหนดวงเงิน ก็จะจัดส่วนแบ่งมอบให้แก่โยมแม่ของพระโบ้ครั้งละสองพันบาท โดยมอบแก่โยมแม่โดยตรงไม่ผ่านผู้ใด โยมแม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็เรียกได้ว่าโยมแม่พระโบ้มีเงินใช้ พระโบ้เลี้ยงแม่ได้ พระโบ้ก็ภูมิใจ

อาตมาในฐานะเพื่อนร่วมวัด และผู้บังคับบัญชาในฐานะเจ้าอาวาส มีความภูมิใจเป็นอย่างมากที่พระโบ้ได้กลับตัวกลับใจเป็นคนดีได้ จึงต้องเขียนไว้ เพื่อให้ทุกคนได้รู้ว่าคนเรานั้นเปลี่ยนแปลงได้ ขอเพียงเราไม่รังเกียจผู้ที่เคยทำผิด ผู้ที่เคยพลาดพลั้ง เพราะเราทุกคนก็เคยทำผิด เคยพลาดพลั้งกันมาทั้งหมด มิต่างเลย ความเกื้อกูลกัน ประคับประคองกัน ให้ผู้ที่เคยผิดพลาด พลาดพลั้ง ได้ลุกขึ้นมาแล้วเดินสู่ทางที่ถูกต้อง เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ดังเช่นความอบอุ่นที่พระโบ้ได้รับ จนได้เห็นคุณค่าของตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพายาเสพติดอีก ขอเจริญพร