เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 23 มิ.ย. 2564บุญชู จันทร์สุวรรณ นายก อบจ.สุพรรณบุรี ได้พาผู้สื่อข่าวลงพื้นที่กำแพงเมืองสุพรรณบุรีคูเมืองเหนือ และคูเมืองใต้ ซึ่งเป็นจุดที่กำลังมีการบูรณะแนวกำแพงด้านทิศตะวันตกต่อจากแนวกำแพงที่บูรณะอยู่แล้วเดิม คิดเป็นความยาว 733 เมตร และบูรณะแนวกำแพงด้านทิศเหนือ ด้านทิศตะวันตก(ฝั่งเหนือ) และด้านทิศตะวันออกฝั่งเหนือ ความยางประมาณ 1,377 เมตร
ตามโครงการอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถานกำแพงเมืองสุพรรณบุรีซึ่งสำนักศิลปากรที่ 1 สุพรรณบุรี ได้ว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่ง เริ่มสัญญาตั้งแต่ 4 มี.ค.64 สิ้นสุดสัญญา วันที่ 29 ธ.ค.64 รวมระยะเวลา 300 วัน มูลค่าก่อสร้าง 29,300,000 บาท (ยี่สิบเก้าล้านสามแสนบาทถ้วน)
พร้อมกล่าวไม่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าวว่า แต่เห็นแล้วมันไม่มีคุณค่าอะไรเลย แถมบดบังทัศนียภาพเดิมๆ เหมือนเอาเศษหินมากองไว้ การที่กำแพงเมืองในปัจจุบันซึ่งผุพังไปตามกาลเวลาก็ว่ากันไป แต่ต้องมีรูปทรง ต้องมีร่องรอยด้วย ไม่ใช่มีร่องรอยเป็นสี่เหลี่ยมแบบนี้ ส่วนที่ผังก็พังไป ส่วนที่ยังอยู่ก็ยังอยู่ ประชาชนจะได้เห็นที่ได้ประโยชน์จะทำให้มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว แต่กลับเอาอิฐมาสร้างเป็นสี่เหลี่ยมบดบังความสวยงามรอบคูเมืองโดยเปล่าประโยชน์และเปลืองงบประมาณ ถ้าพูดภาษาชาวบ้าน “ทุเรศมาก”เหมือนคนไม่มีความรู้ทำ ณ วันนี้ในสังคมจะทำอะไรต้องให้เกิดประโยชน์กับสังคมส่วนรวม
นายบุญชู กล่าวต่อว่า การเป็นเมืองเก่าหรือเป็นคูเมืองของจังหวัดสุพรรณบุรี น่าจะมีศิลปะที่ดีกว่านี้ถ้าทำแบบนี้แค่เด็กก็คิดได้ทำได้ ทำแบบนี้เหมือนดูถูกคนสุพรรณบุรี ว่ามีมันสมองแค่นี้ เชื่อว่าคนสุพรรณบุรีที่ผ่านไปผ่านมาก็มีความรู้สึกไม่ต่างไปจากตน และยอมรับไม่ได้ ตนเองในฐานะคนสุพรรณบุรีคนหนึ่งก็ยอมรับไม่ได้เช่นกัน ถ้าเป็นรูปแบบอย่างนี้ตนไม่ยอมแน่นอน เพราะคนที่มาจากต่างจังหวัดเมื่อมาเห็นแล้ว ไม่ได้ว่าคนออกแบบ แต่จะมองว่าคนสุพรรณบุรี มีมันสมองแค่นี้ ฉะนั้นสิ่งที่ก่อสร้างและเสียเงินจากภาษีประชาชนไปมากมาย เกิดอะไรได้ประโยชน์กับคนสุพรรณบุรีบ้าง ดูแล้วมีแต่เสียไม่ได้อะไรเลย แทนที่จะได้คนมาเที่ยวมาถ่ายภาพ มาท่องเที่ยว มาชม มาสรรเสริญว่าสุพรรณบุรีมีสิ่งโบราณสถานต่างๆ แต่แทนที่จะได้คำชื่นชมกลับเป็นคำด่ามากกว่า เรื่องนี้ตนจะทำหนังสือร้องเรียนถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี อีกด้วยว่าไม่ควรมีการก่อสร้าง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าชาวบ้านที่อยู่ฝั่งคูเมืองเหนือและคูเมืองใต้กว่า 25 หลังคาเรือน ไม่มีใครเห็นด้วย แต่ไม่มีใครกล้าที่จะออกมาพูดเนื่องจากอาศัยพื้นที่ของ กรมศิลปากรอยู่มายาวนาน และในอนาคตจะต้องโดนย้ายออกเมื่อมีการก่อสร้างสมบูรณ์แบบ