วันที่ 30 เมษายน 2564 นางพรทิพย์ สมโสภา พัฒนาการอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ มอบหมายให้ นางเพ็ญศิริ หวันน้อย นักวิชาการพัฒนาชุมชนชำนาญการ พัฒนากรผู้ประสานงานตำบลแม่นะ อำเภอเชียงดาว จัดกิจกรรมเอามื้อสามัคคี ฐานการเรียนรู้ “คนหัวเห็ด” ภายใต้โครงการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยกิจกรรมในครั้งนี้เป็นการรวมกลุ่มของตัวแทนครัวเรือนพัฒนาในหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง จำนวน 15 คน ณ ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนแปลงของ นายพิทักษ์ หน่อคำ หมู่ที่ 6 บ้านสบคาบ ตำบลแม่นะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
นางเพ็ญศิริ หวันน้อย เปิดเผยว่า “พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงตระหนักอย่างดียิ่งในคุณค่าแห่งแนวพระราชดำริเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระองค์ทรงมุ่งมั่นยึดแนวพระราชดำรินี้เป็นแสงส่องนำทางความสุขที่ถาวร แก่แผ่นดินไทย ดังทรงพระราชทานโครงการ “โคก หนอง นา แห่งน้ำใจและความหวัง” โดยผสานแนวทางทฤษฎีใหม่และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อันเป็นหนทางสร้างความดีงานในชีวิต เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมที่สมดุล มั่นคง และยั่งยืน โดยตลอดมากรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นหลักในการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่สมดุลเป็นธรรม มีภูมิคุ้มกันในทุกครัวเรือน และปรับตัวให้สามารถดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข มีอาชีพ สร้างรายได้ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ของสังคม
สำหรับกิจกรรมการเอามื้อสามัคคี ในวันนี้ เป็นการพัฒนา สร้างความรู้ ความเข้าใจ วิถีแห่งความพอเพียง ให้ประชาชนเกิดการยอมรับและน้อมนำไปปฏิบัติ ผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นอย่างชัดเจน นั้น คือ การสร้างพลังแห่งความสมานสามัคคี เอื้ออาทรให้เกิดขึ้นในชุมชน ท้องถิ่น และการเพิ่มทักษะการดำเนินชีวิตในรูปแบบการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำจริงทุกขั้นตอน โดยใช้กระบวนการ “ฐานคนหัวเห็ด” การเพาะเห็ดฟาง 2 รูปแบบ ประกอบด้วย 1) การเพาะเห็ดฟางแบบกองเตี้ย เพื่อจัดทำเป็นแปลงสาธิตภายในศูนย์เรียนรู้ทฤษฎีใหม่ รูปแบบ “โคก หนอง นา” ประชาชนในหมู่บ้านสามารถเข้ามาเรียนรู้ได้ ซึ่งการเพาะเห็ดฟางแบบกองเตี้ยเป็นวิธีที่ง่ายและได้รับความนิยมกันมาก เนื่องจากเป็นวิธีที่ ประหยัดวัสดุเพาะเห็ด ใช้ระยะเวลาเพาะสั้น จึงสามารถเพาะได้ทุกฤดูกาล ปกติแล้วเกษตรกรจะเพาะในฤดูหลังนา เพราะมีฟางข้าว และตอซัง เป็นวัสดุเพาะ เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าวัสดุที่เหลือใช้จากครัวเรือนและการเกษตร มาให้เกิดประโยชน์เป็นการเพิ่มแหล่งอาหารและเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่งด้วย และ 2) การเพาะเห็ดฟางในตะกร้า ที่เป็นรูปแบบการเพาะเห็ดฟางที่ประยุกต์ใช้ตะกร้าพลาสติกเป็นโครงสร้างของกองวัสดุเพาะ เหมาะสำหรับการเพาะเห็ดฟางในพื้นที่ที่จำกัด โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีแปลงไร่นา มีพื้นที่น้อย หรือผู้ที่อยู่ในชุมชนเมือง โดยผลงานความร่วมมือเพาะเห็ดฟางในรูปแบบที่ 2 นี้ จะมอบให้ครัวเรือนเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการ เป็นดังจุดเริ่มต้นเพื่อเป็นต้นแบบที่ดี สร้างความมั่นคงทางอาหาร สู้กับวิกฤตการณ์ การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระลอกใหม่ และขยายผลสู่ทุกครัวเรือนต่อไป”
นางเพ็ญศิริ กล่าวต่อไปว่า “การเพาะเห็ดฟางนั้น เราจะสามารถสร้างผลผลิตที่มีคุณค่าทางอาหารสูงเช่นเดียวกับพืชผักหลายชนิด และที่สำคัญมั่นใจได้ว่าปลอดภัยไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมี การเพาะก็ทำได้ง่าย วัสดุต่าง ๆ ที่ใช้เพาะก็หาได้ง่าย ส่วนใหญ่เป็นวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร และทำได้ตลอดทั้งปี กิจกรรมครั้งนี้ เป็นการจัดทำหนึ่งใน 3 ฐานการเรียนรู้ ประกอบด้วย ฐานคนหัวเห็ด ฐานการแปรรูปกล้วย และฐานต้นกล้าพันธุ์ดี ภายใต้โครงการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง กิจกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาวิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนแปลงของ นายพิทักษ์ หน่อคำ ในพื้นที่ขนาด 1 ไร่ ตั้งอยู่ในหมู่ที่ 6 บ้านสบคาบ ตำบลแม่นะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งในพื้นที่อำเภอเชียงดาว มีจำนวน 18 แห่ง วัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาตนเอง และชุมชนอย่างมีทิศทางที่สอดคล้องตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ศักยภาพและบริบทของชุมชน โดยการส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนรู้ร่วมกันของผู้แทนครอบครัวพัฒนา กลุ่มองค์กรชุมชน/เครือข่ายชุมชน ด้วยการร่วมเรียนรู้คู่การปฏิบัติ ผ่านกิจกรรมเอามื้อสามัคคี เชื่อมโยงกับพื้นที่ครัวเรือนเป้าหมายการพัฒนาพื้นที่เป็นแหล่งเรียนรู้ “โคก หนอง นา” ก้าวไปตามการพัฒนาใน 3 ระดับ คือ ขั้นต้น ระดับครัวเรือน เพื่อการพออยู่ พอกิน ขั้นก้าวหน้า ระดับกลุ่ม ส่งเสริมและพัฒนากลุ่มอาชีพเพื่อสร้างรายได้ ให้อยู่ดี มีสุข และระดับชุมชน ส่งเสริมความร่วมมือพัฒนาชุมชนให้มีกิจกรรมสร้างหลักประกัน สวัสดิการ ความสัมพันธ์ในชุมชน สร้างคุณภาพชีวิตประชาชนที่หลากหลายและยั่งยืน”