วันนี้ 29 เมษายน 64 ช่วงเช้าที่ผ่านมา ที่ศาลาชีวะศิริ วัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์อ.เมือง จ.นครปฐม บุตรชายทั้ง 2 ของ นางสาวลัดดา ตันติวิสุทธิธำรง อายุ 61 ปี ชาวกรุงเทพ ได้มารอทำพิธีฌาปนกิจศพ หลังจากผู้ตายเสียชีวิตด้วยการติดเชื้ดไวรัสโควิด-19 ที่โรงพยาบาลภูมิพล เมื่อวันที่ 28 เมษายน ที่ผ่านมา โดยพระครูปลัดสิทธิวัฒน์หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ได้นำคณะสงฆ์จัดพิธีแบบตามกระบวนการเผาศพติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เช่นศพรายอื่นๆ 10 ที่ผ่านมา
โดยบุตรชายของนางสาวลัดดา บอกว่ามารดาติดเชื้อจากน้องชายของตนเอง ซึ่งคาดว่าน่าจะได้รับเชื้อในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ซึ่งทั้งบ้านตนเองติดเชื้อทั้งหมด 5 คน มีเพียงตนเองที่ไม่ได้ติดเชื้อเพราะไม่ได้พบกับครอบครัวในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา ซึ่งนาลัดดา นั้นได้รับเชื้อราว 5 วันก็เสียชีวิต โดยที่ไม่ได้มีโรคประจำตัวอะไร ซึ่งที่เลือกวัดไผ่ล้อม เผาศพเพราะเคยสอบถามไปยังวัดอื่นๆในกรุงเทพ พบว่ามีคิวเต็มต้องรอ 3 วันถึงได้เข้าพิธีแต่ไม่มีสวดบังสุกุลให้ จึงได้มาที่นี่เพื่อให้จัดพิธีครบกระบวนการตามศาสนา ส่งดวงวิญญาณมารดาให้ไปสูภพภูมิที่ดีตามศาสนาพุทธ
ต่อมา เวลา 16.00 น. มีการประสานจาก โรงพยาบาลมิตรประชา เพชรเกษม กรุงเทพเพื่อนำร่างของนายเสาร์คำ บุญศรี อายุ 57 ปี ชาวกรุงเทพ เพื่อขอทพิธิฌาปนกิจศพ อีก1 ราย โดยมีชายหญิงวัยกลางคน มาเพียง 3 คน มาทำพิธีอย่างเรียบง่าย
สอบถาม นายรัฐภูมิ (นามสมมติ) อายุ 30 ปี บอกว่าตนเองเป็นเพื่อนของบุตรชาย ขอผู้ตาย ที่มาทำพิธีการแทนเนื่องจากคนในบ้านทั้งหมด 6 คน นั้นติดเชื้อทั้งหมดและกำลังอยู่ในระหว่างรักษาตัวในโรงพยาบาล ไม่มีใครออกมาทำพิธได้ ตนเองงจึงได้เป็นตัวแทนมาทำพิธีให้ ซึ่งนายเสาร์คำ นั้นเพิ่งเสียชีวิตเมื่อเช้านี้ เวลา 09.30 น. ซึ่งจำเป็นต้อจัดพิธีรวบรัด และเห็นใจครอบครัวผู้ตายที่ไม่มีใครสามารถเป็นตัวแทนมาทำการเผาศพหัวหน้าครอบครัวได้เลย ซึ่พรุ่งนี้พวกตนก็จะมาทำพิธีเก็บกระดูกให้ด้วย และยังไม่รู้ว่าคนในครอบครัวจะกลับออกมาจากโรงพยาบาลได้เมื่อได้ และรู้สุกสลดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม กล่าวว่า ช่วงนี้ตัวเลขของการเสียชีวิต จากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปกติที่คิดว่าเคยถี่คือวันละ 1 ศพ มาวันนี้เพิ่มเป็นวันละ 2 ศพ และศพนี้เป็นศพที่ 12 แล้ว ซึ่งทางวัดไผ่ล้อมยินดีที่จะช่วงจัดพิธีให้ครบตามพิธีการและมีการป้องกันการแพร่ระบาด แต่ต้องยอมรับว่าวัดไผ่ล้อมมีเมรุเพียงแค่ที่เดียว จะทำพิธีฌาปกิจศพ ไป 1 ศพและจะทำการเผาต่อเนื่องไม่ได้ เพราะต้องรอให้ชุดแรกคลายความร้อนก่อนที่เจ้าหน้าท่ีจะทำการเก็บเถ้ากระดูกออกมาได้ โดยอาจจะเป็นปัญหาในอนาคตได้ หากมีศพทยอยเข้ามาเผาที่คิวตรงกัน
หลวงพี่น้ำฝน กล่าวอีกว่า หลังจากที่ฝากสื่อมวลชนได้กระจายข้อมูลเรื่องวิงวอนให้วัดต่างๆ ที่มีความพร้อมช่วยอนุเคราะห์เผาศพที่ติดเชื้อไวรัสโควิดนั้น เพราะเกรงว่าวัดไผ่ล้อมจะรับสถานการณ์ไม่ได้ แม้จะเปิดใจรับอย่างเต็มที่ ซึ่งอาตมาวางแนวคิดว่า วัดทั่วประเทศอย่างน้อย อำเภอละ 1 วัดก็ยังดี ที่จะรับเผาศพที่ติดเชื้อมา โดยหากจะเริ่มก็สามารถประสานงานไปยังสำนักงานสาธารณสุขอำเภอของวัดนั้นๆ ที่จะมาให้ความรู้กับทางวัดได้” วันนี้เราจัดระบบใหม่ที่มีการป้องกันมากขึ้น และไม่ให้ญาติมารวมตัวหรือมาใกล้โลงศพที่มีการบรรจุร่างผู้เสียชีวิตมาแล้ว โดยจะสามารถนำโมเดลของวัดไผ่ล้อมไปปรับใช้ได้ทันที ซึ่งกำลังผลิตสื่อที่จะนำไปเปิดทางโซเชียลมีเดีย เพื่อศึกษาดูได้ โดยสิ่งที่อาตมาเห็นจากข่าว คือที่ประเทศอินเดีย ซึ่งมีคนติดเชื้อและล้มตายเป็นจำนวนมาก จนไม่สามารถเผาศพได้ทันต้องนำไปสุมไฟ กันที่กลางแจ้ง เป็นภาพที่น่าวิตกและหดหู่ใจของญาติผู้ตาย แต่ประเทศไทยมีวัดและเตาเผาศพมากมาย หากศึกษาให้ดี เรื่องการเผาศพติดเชื้อนั้นไม่ได้น่ากลัว และขอให้วัดเป็นที่พึ่งสุดท้ายของญาติโยมในยามวิกฤติเช่นนี้ด้วย” หลวงพี่น้ำฝน กล่าวปิดท้าย