สังขละบุรี.!!  เมืองแห่งมนต์เสน่ห์สามสายน้ำ




จิราเมศร์ บุณยรัตน์กานนท์  ผู้บริหาร #108succession และ #108organizer ได้มีโอกาสนำคณะสื่อมวลชนทั้ง กทม.และพื้นที่ โดยมี อุ้มสี ธีรมา วิเสโส เจ้าของ aumteerama.bloggang.com บล็อกเกอร์ฝีมือระดับประเทศ   เป็นแกนเชื่อมประสานสื่อ   ร่วมกันประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี  ในช่วง  18 – 20 สิงหาคม  ศกนี้  ก็ถึงคราต้องปิดจ๊อบกันแล้วครับ

ทริปนี้เป็นทริปสุดท้ายในกิจกรรมวันที่ 20  สิงหาคม 2563  ซึ่งหลังจากที่คณะขอเราได้รีวิว “ศูนย์อาหารแม่บัวคำ” ที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาจาก  คุณวงษ์ศักดิ์ อิสระกาญจน์กุล (เฮียกี๋) คุณจินตนา อิสระกาญจน์กุล (ซ้อจิน)  ผู้บริหารใจดี  แม้เฮียกี๋สุขภาพจะไม่สมบูรณ์  แต่ใจเกินร้อยมาคอยต้อนสร้างความอบอุ่นให้กับคณะเรา  เสร็จภารกิจที่นั้น  รถตู้ก็นำมุ่งตรงไปตามเส้นทาง  ใช้เวลา 3 ชั่งโมงเศษ  ก็ถึงที่หมายสังขละบุรี  ได้เวลาพลบค่ำพอดี

แต่ก็น่าเสียดาย.!! อากาศช่างไม่เป็นใจ  เมฆหน้าทึบบดบังแสงสวยๆยามเย็น   จึงไม่ได้เก็บภาพพระอาทิตย์ลับฟ้ามาฝาก   คณะของเราใช้เวลาในการเดินทักทายสะพานมอญ  สะพานที่ยาวที่สุดในประเทศไทย  เวลาผ่านไปไม่นาน   น้ำย่อยเริ่มร้องลั่นท้อง  จึงชักชวนกันมุ่งหน้าตรงไปยังที่พัก “พรไพลิน  ริเวอร์ไซท์  รีสอร์ท”  พอลงจากรถก็เห็น  คุณ แจ็ค ณฐิสินี เต็งเที่ยง  เจ้าของผู้ประกอบการ  ยืนรอให้การต้อนรับเราด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม  สื่อถึงความเป็นมิตรไมตรีแก้ผู้มาเยือนอย่างอบอุ่น   เรานั่งล้อมวงรอบโต๊ะเสร็จสับ  อาหารก็ทยอยลงมา  ยังไม่ทันจะตักชิมน้ำลายก็สอปากไปตามๆกัน  เพราะแค่เห็นและได้กลิ่นอาหารเตะจมูก  ก็บอกถึงรสชาติได้เลย  สำหรับ  Signature  ของเมืองสังขละบุรี  ที่พลาดไม่ได้เลย  คือปลาเล็กปลาน้อยแดดเดียวทอดกรอบ  แกงป่าปลาคัง  ตามด้วยไข่เจียวปลาทอด  ที่รสชาติไม่ธรรมดา  สำหรับคอน้ำพริกผักจิ้มก็ไม่มีพลาด  ที่นี่ยังมีเมนูให้เลือกอีกเยอะน่ะครับ  ที่ได้บรรยากาศมากก็คือ  ร้านอาหารที่นี่  ตั้งอยู่ริมน้ำ  สามารถมองเห็นเจดีย์พุทธคยาจำลองได้ชัดเจน  ยิ่งไปกว่านั้น  ใครที่มีกล้องติดมือไป  ก็เล็งเป้าหมายไปยังสะพานมอญที่เป็นสัญลักษณ์ของที่นี่   ลั่นชัดเตอร์เก็บภาพที่สวยงามเก็บติดกลับไปเป็นที่ระลึกได้เลย   เราเพลิดเพลินกับรสชารติอาหารที่นั้นพักใหญ่    ก่อนที่จะแยกย้ายกันเข้าห้องพัก

เช้ารุ่งขึ้น  เราก็เดินทางไปรับแสงพระอาทิตย์กัน  แหม.ๆๆ  เป็นอีกครั้งที่เราไม่เจอแสงทั้งเย็นและ เช้า  จากนั้นคณะของเราก็เดินทางไปยังบริเวณที่พระรับบิณฑบาต   บริเวณเชิงสะพานมอญ  นักท่องเที่ยว  รวมถึงสาวจากทีมสื่อมวลชนก็สวมชุดมอญ  เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ  ตักบาตรทำบุญร่วมกับนักท่องเที่ยว   เสร็จจากนั้น    ก็พากันไปชมบรรยากาศและดูวิถีชาวมอญ   ที่ต่างใช้มาเป็นการหารายได้เสริมยามเช้า  เช่น  ประแป้งลายต่างๆบนแก้ม  และที่ขาดไม่ได้เลยคือ  การเทินหม็อบนศีรษะ  ให้นักท่องเที่ยวร่วมถ่ายภาพเป็นที่ระลึก  ส่วนใครจะมีน้ำใจบริจาคให้เท่าไหร่  ก็ไม่ได้กำหนดกฎเกณฑ์    จากนั้นคณะเราก็กลับไปรับประทานอาหารยังที่พัก  เปลี่ยนบรรยากาศจากค่ำมาเป็นเช้า  เห็นเรือหาปลาแล่นผ่านหน้าที่พักกันควักไขว่  หลังจากที่อิ่มอร่อยกับมื้อเช้าแล้ว  เราก็ได้มีโอกาสได้นั่งคุยกับคุณแจ๊ค  ถึงที่มาก็รู้มาว่า  เริ่มมาจากร้านอาหารเล็กๆ ในตัวเมืองเก่าๆ  ก่อนที่ยังไม่มีการสร้างเขื่อน  หลังจากที่ได้ถูกย้ายขึ้นมาจากที่เดิม  ก็มีนักท่องเที่ยวเริมทยอยกันเข้าพื้นที่  คุณแม่เธอจึงสร้างที่พักเอาไว้รองรับ

หลังจากที่ประสบความสำเร็จ  ก็ได้สร้าง  พรไพลิน  ริเวอร์ไซท์  รีสอร์ท  เพิ่มขึ้นอีกแห่ง   เธอเน้นย้ำว่า  เธอเป็นคนในชุมชน  และทำเพื่อตอบแทนสังคมในชุมชน  ถ้ามีโอกาสก็จะใช้เวลาในการทำ  CSR  บ่อยครั้ง  ส่วนปัญหาในช่วงที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  เธอก็ยังเลี้ยงดูแลช่วยประคับประคองกันมาจนรอด  ไม่มีใครออกไปแม้แต่คนเดียว   ณ  ปัจจุบันนี้นักท่องเที่ยวได้ปลดปล่อยและเดินทางมาในพื้นที่จำนวนมาก

สิ่งที่น่าชื่นใจจากการเล่าของคุณแจ๊คก็คือ  การน้อมนำความพอเพียงของรัชกาลที่ 9  มาปรับใช้ในการบริหาร  มีการปลูกผักนำมาทำอาหารให้บริการกับลูกค้า  นอกจากนั้นยังได้ให้ครอบครัวของพนักงานปลูกผัก  เลี้ยงหมู  เลี้ยงไก่  นำมาจำหน่ายให้กับรีสอร์ท  เพื่อเป็นรายได้เสริมอีกทางหนึ่งด้วย  ท้ายสุดเธอก็ฝากถึงนักท่องเที่ยวว่า  อยากให้มีโอกาสสักครั้ง  เดินทางไปกราบสังขารของหลวงพ่ออุตตมะ  เทวดาของชาวมอญ  และพระแก้วมรกตข่าว  ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2  แหม.!!  แค่ได้ยินก็เป็นการสื่อถึงความรู้สึกที่ดีมาก  ก็ขออนุโมทนาให้คุณแจ๊คที่มีจิตกุศล  ดำเนินกิจการและดูแลทุกชีวิตในปกครอง  ให้อยู่รอดปลอดภัย  และใช้ชีวิตอย่างความสุขตลอดไปน่ะครับ

จากนั้น  เราก็นั่งหารือกันเพื่อเลือกเส้นทางจะไปกันต่อว่า  จะไปทิศทางไหนที่จะทำให้การเดินทางกลับได้ตามเวลาที่กำหนดไว้   ความคิดเห็นของคณะสื่อก็แตกเป็น 2 เสี่ยง  ฝ่ายหนึ่งก็จะไปชายแดนด่านพระเจดีย์สามองค์  อีกฝ่ายหนึ่งก็จะขอลงเรือไปชมโบสถ์และวัดจมน้ำ  หลังจากโหวดเสียง  สรุปว่า  ต้องลงเรือตามเสียงข้างมาก  เราจึงพากันลงเรือไปยังวัดสมเด็จ  วัดสุวรรณ  และวัดวังก์วิเวการาม  ซึ่งต้องถูกย้ายขึ้นบก   สาเหตุจากการสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ  นั่นเอง  โดยบางช่วงที่น้ำมาก  วัดทั้ง 3 แห่ง  ก็จะจมอยู่ใต้น้ำ   แต่พอน้ำลดก็จะสามารถเดินขึ้นไปเยี่ยมชมกันได้  ซึ่งช่วงที่คณะสื่อเดินทางไปก็นับว่าโชคดี  ที่ได้เดินขึ้นไปชมได้อย่างใกล้ชิดเลยทีเดียว  เราใช้เวลาเดินทางทางเรือทั้งไปและกลับกว่า  1  ชั่วโมง  สาเหตุเนื่องมาจากฝนตกลงมาอย่างหนัก  ผู้ขับเรือต้องหาที่จอดเพื่อหลบภัย  แต่เราก็รอดพ้นกันออกมาได้ด้วยความเสี่ยงว่ากล้องจะเป็นเหยื่อน้ำฝนหรือไม่

จากนั้น  เราก็ได้ขึ้นบกและแวะสักการะเจดีย์พุทธยาจำลอง  กราบสังขารหลวงพ่ออุตตมะ  พร้อมกับพระพุทธรูปหยกขาวในศาลาวัดวังก์วิเวการาม   ต่อด้วยแวะชมวัดสมเด็จและเก็บภาพมาฝาก   ก่อนที่คณะของเราจะเก็บความประทับใจเอาไว้อย่างมิลืมเลือน

ก่อนจากลา  ต้องกราบงามๆ   สำหรับหน่วยงานภาครัฐ  และภาคเอกชนที่สนับสนุน   ให้โครงการนี้เกิดขึ้นได้  และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า  ผู้จัดและทีมสื่อจะได้รับความอนุเคราะห์  เพื่อสร้างเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว  รวมถึงที่พัก  อาหารการกิน  ให้ก้าวเดินหน้าต่อไปได้อย่าง  มั่นคง  มั่งคั่ง  และยั่งยืน